ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ทำให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่าเศรษฐกิจไตรมาส 3 จะติดลบ 3.5% (-3.5%) แต่ทั้งนี้ต้องรอตัวเลขอย่างเป็นทางการจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ส่วนไตรมาส 4 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเติบโต 3% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ จากการมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นทั้งปี 180,000 คน สร้างรายได้ 10,000 ล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีเติบโต 1% ทั้งนี้ กระทรวงการคลังยังคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2565 ว่าจะเติบโตในอัตรา 4% โดยคาดหวังว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาในประเทศ ไทยจำนวน 6-7 ล้านคน ส่งผลรายได้เข้าประเทศประมาณ 380,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน คนไทยจะกลับมาท่องเที่ยวในประเทศมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ ขณะที่การส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.8% ต่อปี การบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 4.2% ต่อปี ส่วนปัจจัยอื่นๆที่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโต ในปี 2565 ได้แก่ ภาครัฐมีเม็ดเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท และงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ วงเงิน 307,000 ล้านบาท รวมทั้งเม็ดเงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน ในส่วนที่เหลืออีกราว 354,000 ล้านบาท ส่วนโครงการที่ได้รับอนุมัติไปแล้วนั้น เริ่มมีการทยอยเบิกเงินแล้ว ดังนั้น คาดการณ์ว่าเมื่อมีการเบิกจ่ายต่อเนื่อง จะทำให้การลงทุนของรัฐ ขยายตัว 5% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.4% ส่วนปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยอยู่ที่ 68-69 เหรียญฯต่อบาร์เรล ค่าเงินบาทอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.4% ขณะที่นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า การผ่อนคลายมาตรการป้องกันการระบาด และเปิดประเทศวันที่ 1 พ.ย.2564 จะทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจผ่อนคลายขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ออกมาก่อนหน้านี้ เช่น โครงการ คนละครึ่งรอบ3 เพิ่มเติม โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่ขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่ปรับปรุงวงเงินใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งโครงการเหล่านี้จำเป็นในการช่วยเพิ่มกำลังซื้อโค้งสุดท้ายปี 2564 ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงนี้จะส่งผลถึงไตรมาส 1 ปี 2565 ด้วยหรือไม่นั้ย เลขาธิการสภาพัฒน์ มองว่า ต้องดูว่าจะมีมาตรการใดทยอยเพิ่มเข้าไป หลังเปิดประเทศต้องดูการระบาดว่าจะเพิ่มหรือไม่ และหากมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ต้องเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุขให้เพียงพอ กระนั้น เมื่อดูจากรายงานการคาดการณ์ต่างๆ เราเชื่อว่ายังพอมีแสงสว่างสำหรับเศรษฐกิจไทย ที่แม้หลายฝ่ายจะพยากรณ์ไปในทางร้าย ว่าปีหน้าจะ “เผาจริง” แต่หากไม่มีปัจจัยใดมากระทบ เช่นการระบาดใหม่ ทีอาจทำให้เกิดวิกฤติด้านสาธารณสุข ก็เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยจะได้ไปต่อ แม้ยังไม่โงหัวขึ้นก็ไม่ดิ่งลงเหว