แสงไทย เค้าภูไทย
การประชุม G-20 Summit ปีนี้ได้ข้อสรุป 3 เรื่อง ลดภาษีนิติบุคคล-โลกร้อน-ควบคุมโควิด-19 แต่จีนกับรัสเซียเบี้ยวไม่ร่วมถกปัญหามลภาวะทางอากาศ
การที่จีนไม่เข้าร่วมถกในญัตติภาวะโลกร้อน (climate change) อันเกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(Greenhouse gas emissions) ก็เพราะจีนเป็นชาติที่ปล่อยควันจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงมากที่สุดในโลกเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯ
จีนยังไม่พร้อมจะลดการใช้ถ่านหิน จนกว่าโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์จะบรรลุเป้าหมาย
จากสามประเด็นที่บรรลุข้อตกลงในการประชุมสุดยอด 20 ประเทศทรงอิทธิพลด้านเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกที่โรมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ประเด็นลดภาษีนิติบุคคลเป็นเรื่องเด่นที่สุด
โดยตกลงกันว่า จะลดอัตราภาษีนิติบุคคลโลกอัตราต่ำสุด 15%
ภาษีนิติบุคคลหรือภาษีบริษัท (Corporate Tax) เป็นภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากบริษัทหรือบรรษัททั้งบริษัทในประเทศและบริษัทต่างชาติที่เข้ามาดำเนินกิจการในประเทศ โดยไม่จำกัดว่าสถานที่ตั้งสำนักงานหรือการจดทะเบียนจะเป็นที่ใด
เท่าที่เป็นอยู่ รัฐบาลไทย จะเก็บภาษีจากกำไรสุทธิของบริษัทต่ำสุด 15%
จะเริ่มจากกำไรสุทธิของบริษัท 300,000 บาทขึ้นไปแต่ไม่เกิน 3 ล้านบาทเรียกเก็บภาษี 15%
โดยกำไรสุทธิต่ำกว่า 300,000 บาทยกเว้นเก็บภาษีนิติบุคคล
ส่วนที่เกินจากกำไรสุทธิ 3 ล้านบาทขึ้นไป จะถูกเก็บภาษีนิติบุคคลในอัตรา 20% ไปตลอด
การที่เรียกร้องกันในกลุ่ม G-20 ให้ลดอัตราต่ำสุดลงเหลือ 15% นั้น สาเหตุคงจะเป็นเพราะมีการเก็บภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำในอัตราที่สูงกว่า 15% กันอยู่
ไม่เฉพาะกลุ่ม G-20 หรือ 20 รัฐบาลทรงอิทธิพลที่สุดในโลก หลายประเทศนอกกลุ่มก็คงจะมีการเก็บภาษีนิติบุคคลกันสูงกว่า 15%กันอยู่
ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐเห็นว่าสูงไป น่าจะลดลงกว่านี้
นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังจึงเสนอให้ไบเดน นำไปเป็นญัตติหนึ่งในการประชุมประจำปีนี้ที่โรม
ผลก็คือ ทุกประเทศเห็นดีด้วย โดยเฉพาะช่วงนี้ เศรษฐกิจโลกระบมด้วยโควิด-19
ถ้าเอาการเก็บภาษีตามขั้นบันไดกำไรสุทธิของไทยไปคิดกับบริษัทข้ามชาติอเมริกาและยุโรป บริษัทพวกนั้นจะต้องเสียภาษีนิติบุคคลถึง 20% เพราะล้วนแต่มีกำไรสุทธิเกิน 3 ล้านบาทต่อปีทั้งสิ้น
อย่าว่าแต่บริษัทข้ามชาติเหล่านั้นเลย ของไทยเราเองก็โดนหนักเช่นกัน เพราะมีเป็นพันๆบริษัทที่มีกำไรสุทธิปีละเกิน 3 ล้านบาท
ถ้ากลุ่ม G-20 ลดอัตราภาษีนิติบุคคลเริ่มต้นที่ 15% รายได้จากภาษีประเภทนี้จะหายไปเป็นหมื่นๆล้านดอลลาร์
นางเยลเลน เชื่อว่า แม้รายได้ของรัฐจะหดหายไป ทว่า ก็ทำให้บริษัทห้างร้านตั้งราคาสินค้าถูกลง สินค้าและบริการขายได้มากขึ้น ห่วงโซ่อุปทานยาวขึ้น เพราะมีการเพิ่มกำลังการผลิต เพิ่มการจ้างงานมากขึ้น
สำหรับบ้านเรา อัตราเก็บขั้นต่ำ 15% ถือว่าเข้าข่ายอัตราต่ำสุดของพวก G-20 แต่ถ้าเป็นบริษัทของเราเอง ถือว่าสูงไปหน่อย
น่าจะซอยเป็น 3 ขั้นบันได 10-15-20 % แต่ละขั้นกำหนดกำไรสุทธิตั้งต้นที 3 ล้านบาท เช่น 3-10-30 เป็นต้น
โดยมีการกำหนดให้บริษัทนำกำไรส่วนที่ลดหย่อนให้ ไปขยายกำลังการผลิตหรือขยายกิจการ
คนไทยก็จะมีงานทำมากขึ้น มีการบริโภคเพิ่มขึ้น เป็นการขยายห่วงโซ่อุปทานออกไปดังที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐตั้งเป้าหมาย