ขณะที่สองขั้วอำนาจใหญ่ กำลังฟาดฟันประกาศตัวเป็น "แกนนำตั้งรัฐบาล" กันอย่างคึกคัก แต่น่าสนใจว่า จังหวะการก้าวเดินของ "พรรคก้าวไกล" ที่รุกคืบเจาะฐานเสียง เข้าไปตามจุดต่างๆที่ "พรรคใหญ่" คุมเชิงอยู่ กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและเต็มไปด้วยความคาดหวังไม่น้อย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสานที่พรรคก้าวไกล เพิ่งยกพลไปจัดการประชุมใหญ่ ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ (KICE) จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 16 ต.ค.64 ที่ผ่านมา โดยงานนี้ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นประธานการประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งที่ 1/2564 พร้อมทั้งโชว์วิสัยทัศน์ ชูเป้าหมายว่าพรรคจะกวาดส.ส.ในภาคอีสาน "การมาภาคอีสานต้องการมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ซึ่งได้เห็นช่วงที่ชาวนากำลังลำบาก ทั้งเรื่องราคาพืชผลการเกษตร ทั้งยังเผชิญกับภาวะน้ำท่วมซ้ำซาก แต่พื้นที่อีสานยังคงแล้งต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับอีสานมานาน" พิธา ให้สัมภาษณ์สื่อตอนหนึ่ง เมื่อถูกถามถึงเป้าหมายการเข้ามาปักธงในพื้นที่อีสาน โอกาสที่จะได้ส.ส.มากหรือน้อย สำหรับพรรคก้าวไกล ที่เดินสายทั้งภาคกลาง และอีสานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาถึงนั้น หากจะถือเป็น "เดิมพัน" กันแล้ว ต้องยอมรับว่า พรรคก้าวไกล ที่แม้จะอยู่ในฐานะ "พรรคร่วมฝ่ายค้าน" แต่ย่อมไม่ใช่ "มิตร" สำหรับ "พรรคเพื่อไทย" อย่างแน่นอน ไม่ต่างไปจากการลงสนามแข่งขัน ทุกคน ทุกค่ายต่างต้องสู้กันเต็มที่ ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพรรคก้าวไกลแล้ว รู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้ ต้อง "เสียหาย" ให้น้อยที่สุด แม้โอกาสจะไปถึงการเป็นพรรคแกนนำตั้งรัฐบาล ไม่ได้ แต่อย่างน้อย ที่นั่งส.ส.ในสภาฯ จะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด กลับมาที่พรรคเพื่อไทยที่ตั้งเป้าเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล เพราะไม่อาจให้ "3 ป." อยู่ในอำนาจได้ยาวนานไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นที่อยู่ที่ยืนของพรรคเพื่อไทยและ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ อาจถูกบีบเข้าไปอยู่ในมุมที่ตีบตัน หนักหนากว่าที่ผ่านมา ยิ่งในภาวะที่พรรคเพื่อไทย ยังไม่ชัดเจนว่า ที่สุดแล้ว จะมีการเปลี่ยน "หัวหน้าพรรค" ตามข่าวลือจริงหรือไม่ รวมถึงการที่ทักษิณ ยังไม่มีคำตอบให้กับลูกพรรค ไปจนถึง "คู่แข่ง" ได้ว่า ใครคือ "แคนดิเดตนายกฯ" ที่สู้กับ "บิ๊กตู" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม แต่กลับพบว่า "กระแส" ของพิธา ที่กำลังลุยทำคะแนน จนทำให้มีชื่อติดโพล์ว่าที่นายกฯ ในใจคนอีสาน เบียดขึ้นมา ล้วนแล้วแต่ยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทย ทำงานยากมากขึ้นเท่านั้น อย่าลืมว่าวันนี้การใช้กลยุทธ์การตลาด นำการเมือง ใช่ว่าจะมีแต่พรรคเพื่อไทย เชี่ยวชาญอยู่เพียงพรรคเดียว ยิ่งเมื่อการเคลื่อนไหวและกระแสของม็อบราษฎรที่หล่อเลี้ยงกระแสในกทม. ย่อมขยายมาถึงทุกพื้นที่ เข้าถึงใจของ คนรุ่นใหม่Ž ที่พรรคเพื่อไทยเองหมายมั่นจะให้เป็นฐานเสียงกลุ่มใหม่ ไปโดยปริยายได้เช่นกัน