เศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ที่ประเทศทุนนิยมศูนย์กลาง (สหรัฐอเมริกา , อียู , ญี่ปุ่น ฯ) เขากำลังเข้าสู่ ยุค 5.0 นั้น เศรษฐกิจภาคส่วนที่ทำกำไรสูงสุดรวมทั้งเป็นต้นเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจโลกด้วย คือ ภาคการเงิน รองลงมาคือส่วนภาคการผลิตอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับล้ำหน้า รองลงมาคือภาคบริการ ส่วนภาคการเกษตรที่มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์มากที่สุดนั้น กลับอยู่ในลำดับต่ำสุด การดิ้นรนของรัฐไทย ก็พยายามที่จะไล่ตามการพัฒนาตามแนวทางข้างต้น ดังจะห็นว่า มีการชูยุทธศาสตรืประเทศไทย 4.0 และพยายามผลักดันเกิดเขตอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงในภาคตะวันออก โดยทฤษฎีแล้ว อาจจะดูดีต่อประเทศไทย แต่ในทางปฏิบัติ พลเมืองไทยอยู่ในภาคส่วนเกษตรกรรมเป็นจำนวนมาก ความอับเฉาของราคาสินค้าเกษตรปฐมภูมิและเศรษฐกิจระดับครัวเรือน อาจกลายเป็น “ปัญหาหนัก” ระดับชี้เป็นชี้ตาย ของรัฐบาลนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด สามารถขยายผลได้เหนือความคาดหมาย และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงเหล่านี้จะสร้างโอกาสให้คนจำนวนมากยกระดับคุณภาพชีวิตได้ สร้างอาชีพใหม่ ๆ สร้างวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ ๆ ในทางกลับกันเทคโนโลยีใหม่ก็จะทำให้ธุรกิจแบบดั้งเดิมล้มหายสาบสูญไปมากมาย ต่อไปยังจะมีนวัตกรรมใหม่ๆที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ทุกด้านก็จริงอยู่ แต่ทว่า จะมีคนไทยเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่มีศักยภาพจะได้ใช้ชีวตสะดวกสบายด้วยเทคโนโลยีเหล่านั้น รวมทั้งสามารถใช้เทคโนโลยีมาส้รงรายได้ของตน ส่วนคนส่วนใหญ่ จะด้อยโอกาสในการเข้าถึงละช้เทคโนโลยีนั้น เช่น อินเตอร์เน็ตปประชารัฐ แม้จะเข้าถึงทุกหมู่บ้าน แต่ก็มีจดที่ใช้ฟรีเพียงมู่บ้านละจุดเดียว สมาชิกหมู่บ้านที่มด้อยู่ในขอบเขตการใช้อิจเตอรืเน็ตฟรีตงนั้น จะต้องจ่ายค่าอนเตอร์เน็ตเป็นรายเดือน โดยหลักการแล้ว รัฐไทยก็พยายามบอกว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่ยุค 4.0จะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยทิศทางสำคัญสำหรับการดำเนินการส่วนนี้ คือ การกระจายโอกาสทางการศึกษาและการเข้าถึงเทคโนโลยี การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม การเยียวยาดูแลคนที่ได้รับผลกระทบและต้องปรับตัว การพัฒนาภาคเกษตรและชนบทที่คนกลุ่มใหญ่อาศัยอยู่ ตลอดจนการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมากขึ้น ที่ผ่านมาอำนาจการตัดสินใจยังรวมศูนย์ที่ส่วนกลางอยู่มาก รูปแบบการพัฒนามักมีสูตรเดียว กำหนดจากบนลงล่างและยากที่จะตอบโจทย์ของท้องถิ่นที่แตกต่างกัน และการพัฒนาในระยะต่อไปควรเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นตัดสินใจได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การแก้ปัญหามีเจ้าภาพที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัญหารูปธรรมขณะนี้คือ โครงสร้างเศรษฐกิจไม่มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักวิชาการเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเสนอว่า ระบบจะต้องเอื้อให้ประชาชนและธุรกิจปรับตัวได้เร็ว การโอนย้ายทรัพยากรระหว่างภาคเศรษฐกิจเป็นไปได้โดยง่าย ซึ่งหมายถึง กลไกตลาดมีพลวัตอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจที่มีปัญหาสามารถพลิกฟื้นได้อย่างรวดเร็ว และธุรกิจใหญ่และเล็กสามารถแข่งขันกันได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะมีความเกี่ยวเนื่องกับการปรับระบบกลไกการทำงานและบทบาทของภาครัฐ แต่เราจะหวังสิ่งนั้นจากระบบราชการที่ยังทำงานแบบยุค 2.0 ได้จริงหรือ ?