สถาพร ศรีสัจจัง
ไม่แน่ใจว่า ผู้นำทางความคิดสังคมนิยมคนไหนกันแน่ ระหว่าง คาร์ล มาร์กซ์ เจ้าลัทธิ กับ ประธาน เหมา เจ๋อ ตุง วีรบุรุษผู้นำพาสาธารณรัฐประชาชนจีน สู่ยุคแห่งความรุ่งเรือง (อย่างน้อยก็ทำให้คนไม่อดตายและกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่สุดของประเทศที่ทำตัวเป็นเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา) ที่สรุปไว้เป็นเชิงกรอบแนวคิดเกี่ยวกับ “พวกปฏิกิริยา(Revisionist)” หรือพวก “ต่อต้านการปฏิวัติ” ของชนชั้นกรรมชีพ (ผู้ยากจน)ไว้อย่างน่าสนใจ
คือสรุปไว้เป็นทำนองว่า “พวกปฏิกิริยา” (Revisionnist)นั้นมีเนื้อแท้ข้างใน(จิตวิญญาณ)เป็นปิศาจชั่วร้าย ชอบกินเลือดเนื้อเพื่อนมนุษย์เป็นภักษาหาร ชอบค้าสงคราม ขายอาวุธ ชอบรุกรานปล้นชิงผลประโยชน์ผู้อื่น เห็นแก่ตัวเองและพวกพ้อง ไม่มีมนุษยธรรม ฯลฯ พวกนี้มักชอบประแป้งแต่งตัวและสวมหน้ากากของ “สุภาพบุรุษประชาธิปไตย” แสดงตนเป็นคนดีมีน้ำใจต่อผู้อื่น แต่เนื่องจากมี “เนื้อใน” ที่แท้เป็นปีศาจ จึงมีความร้อนรุ่มรุนแรงอยู่ภายในตัวตนเสมอ ดังนั้นถึงวันดีคืนร้าย(เขาใช้คำ “ในภววิสัยหนึ่ง”) ความเป็นปีศาจตัวจริง(คือเป็นพวกปฏิกิริยา หรือ Revisionist) จึงต้องสำแดงออกมาให้เห็นเสมอ
คำพูดดังกล่าวนี้น่าจะนำมาใช้อ้างอิงหรืออธิบายกับปรากฏการณ์ประธานาธิบดีโดนัลส์ ทรัมป์ ผู้นำสูงสุดของประเทศสหรัฐอเมริกาในวันนี้เสียเหลือเกิน ค่าที่ทำตัวแบบที่ถ้า คุณจิตร ภูมิศักดิ์ นักคิดนักปฏิวัติคนสำคัญของไทยยังมีชีวิตอยู่ จะเรียกว่าเป็นพวก “ควายเขาระฟ้า” (คือเกะกะระรานคนอื่นไปทั่ว)เสียเหลือเกิน!
บรรดา “กูรู” ผู้เป็นเอตะทัคคะเกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาสรุปให้ฟังว่า :
นายโดนัลด์ ทรัมป์นี่แหละคือ “ธาตุแท้ของความเป็นอเมริกัน” คือคิดถึงแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง ต้องการเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวในโลก รุกรานโลกและฆ่าคน สามารถทำทุกอย่างได้โดยไม่ละอายต่อบาปเพียงเพื่อผลประโยชน์ตน อเมริกาเริ่มฆ่าพลโลกครั้งใหญ่มาแล้ว ตั้งแต่ทุ่มระเบิดปรมาณูลูกแรกถล่มเมืองฮิโรชิมาในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนบัดนี้บาดแผลทั้งทางกายและทางใจของชาวญี่ปุ่นที่นั่นก็ยังไม่จางหาย(แต่ผู้นำทางการเมืองญี่ปุ่นก็ยังกระดี้กระด๊าคบอเมริกาเป็นมหามิตรอยู่) จากนั้นเมื่อทะยานขึ้นสู่ความเป็น “เบอร์ 1” ของโลกได้แล้ว ประเทศนี้ก็อ้าง “สิทธิเสรีภาพ” ภายใต้หน้ากาก “เสรีประชาธิปไตย” เพื่อปล้นโลก และฆ่าคนอย่างกว้างขวางย่ามใจยิ่งขึ้นในขอบเขตทั่วโลก!
ถ้ารู้ไม่ทัน ทุกประเทศที่สหรัฐอเมริกาเข้าไปถึง จะต้องถึงกาละเกิดความแตกแยกฆ่าฟันกัน เมื่อเข้าอิหร่านก็โค่นล้มมุฮัมหมัด มูรอดดิก ที่ชนะเลือกตั้งมาอย่างขาวสะอาดแท้ๆ หนุนให้เกิดการรัฐประหารและส่งชาห์ ปาเลห์วี ขึ้นครองอำนาจเป็นหุ่นเชิดจนถูกประชาชนโค่นล้มในที่สุด เข้าไปหนุนพรรคบาธในอิรักให้รัฐประหารแล้วส่งซัตดัม ฮุสเซนขึ้นเถลิงบัลลังก์(แล้วตามมาฆ่าในภายหลังเมื่อไม่สนองประโยชน์ตน) สร้างอุสมะ บินลาเด็น ให้เป็นวีรบุรุษในสงครามต้านรัสเซียในอาฟกานิสถานแล้วฆ่าเสียเมื่อบินลาเดนรู้ทัน เข้าไปเชือดคอมุฮัมมาร์ กัดดาฟีในลิเบีย จนทำให้ประเทศนั้นต้องกลายเป็นเมืองเถื่อนที่ผู้คนล้มละลายขายทาส อย่างที่เห็นๆกันอยู่ในปัจจุบัน สนับสนุนการทำรัฐประหารของทหารในอียิปต์แบบไม่ละอาย ทำนองพวกมือถือสากปากถือศีล กระทั่งเรื่องในเลบานอน โซมาเลีย เยเมน และซีเรียนั้น ยิ่งคงไม่ต้องพูดถึง เพราะชาวโลกล้วนแจ่มแจ้งแก่ใจแล้วว่าอะไรคืออะไร?
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงในเอเซียเรานะ สงครามเวียดนามนั่นไง! ลืมกันหมดแล้วหรือ? คนตายไปเท่าไหร่? ทั้งในเวียดนาม ลาว เขมร กระทั่งอดีตไทยแลนด์แทนทาลั่มมหามิตรเก่าแก่อย่างเรานี่แหละ!
จึงควรจะต้องขอขอบคุณท่านประธานาธิปดี “นายทรัมป์” ให้มากเข้าไว้ ที่ทำตัวแบบ “เปิดหน้าชก” เปลือยธาตุแท้ของความเป็นอเมริกันอย่างล่อนจ้อนให้เห็นโดย “นโยบาย” ที่ชัดเจนของประเทศนั้นในวันนี้ เริ่มตั้งแต่การถอนตัวจากสนธิสัญญาเรื่องโลกร้อนที่ปารีส นโยบาย “เลือกปฏิบัติ” เรื่องคนเข้าประเทศ ฯลฯ
และก็ต้องขอบคุณ “คิมน้อย” แห่งเกาหลีเหนือ ลูกแกะตัวที่กล้าผงาดขึ้นตวาดหมาป่าเจ้าเล่ห์ แบบที่สำนวนไทยเรียก “หมาไม่กลัวน้ำร้อน” นั่นเลยทีเดียวคนนั้นด้วย!!!!