ขณะนี้มีคำนิยมกล่าวถึงกันมากคือ “แก่ก่อนรวย” และ “รวยก่อนแก่” คำว่า “แก่ก่อนรวย” ดูเหมือนจะเป็นคำบรรยายสังคมไทยที่เป็นจริง คือคนเล็กคนน้อยที่มีอยู่เป็นภาคส่วนใหญ่ของพลเมืองไทยนั้น “จน” แต่กำเนิด แล้วทำงานเลี้ยงชีพอย่างหนัก ร่างกายและจิตใจจึงทรุดโทรม “แก่” เร็ว และมีบางส่วนเท่านั้นที่สามารถดิ้นรนให้พ้นจากความยากจน ได้เป็นคน “รวยก่อนแก่” คนชั้นกลางชั้นล่างที่ไม่ค่อยมีเงินออม เมื่ออายุสูงขึ้น ก็มักจะกลายเป็นคนจน เพราะไม่มีรายได้หรือหารายได้ได้น้อยลงมาก เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงอายุ” ภูมิภาคเอเชียตะวันออกจะเป็นภูมิภาคที่ก้าวสู่สังคมสูงวัยเร็วที่สุดในโลก โดยพบว่า 36% ของประชากรโลกที่มีอายุกว่า 65 ปีขึ้นไป (ประมาณ 211 ล้านคน) อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก อีก 25 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2583) จำนวนประชากรวัยทำงานในประเทศเกาหลีใต้จะลดลงจากปัจจุบันมากกว่า 15% ขณะที่จีน, ไทย และญี่ปุ่น ประชากรวัยทำงานจะลดลงมากกว่า 10% บอกว่าอีกยี่สิบห้าปี ผู้ฟังอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าหากสนใจสังคมรอบข้างสักหน่อยจะพบว่า ขณะนี้มีคนไทยสูงอายุที่ลำบากยากจนกันมากขึ้น ความสามารถที่ลูกหลานคนชั้นล่างจะมาเลี้ยงดูพ่อแม่ปู่ย่าตายายนั้นลดน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะ “ค่าจ้างแรงงานไทย” นั้นสามารถเลี้ยงดูชีวิตผู้ใช้แรงงานคนเดียวเท่านั้น ไม่อาจแม้กระทั่งเลี้ยงดูภริยา และส่งเสียลูกให้ได้รับการศึกษาอย่างดีเต็มที่ ปรากฏการณ์อันเป็นปัญหาทางสังคมรุนแรงในชนบทขณะนี้คือ ปู่ย่าตายายกลับต้องมาเลี้ยงดูส่งเสีย “หลาน” ที่ผู้ใช้แรงงานส่งกลับไปอยู่กับปู่ย่าตายาย ปัญหาคือปู่ย่าตายายมีรายได้น้อยหรือไม่มีรายได้... แล้วคุณภาพของเยาวชนที่จะมาเป็นอนาคตของประเทศ จะเป็นอย่างไรกัน ? คำพูดว่า “แก่ก่อนรวย” นัยหนึ่งเป็นคำสอนเตือน ผู้คนเร่งหารายได้สร้างตัวให้ร่ำรวยก่อนที่จะแก่เฒ่าหาเงินไม่ได้ อีกนัยหนึ่งเป็นการชูปัญหาที่รุนแรงในสังคมไทย คือคนไทยไม่มีทางรวย จะจนตั้งแต่กำเนิดไปจนแก่จนตาย กล่าวสำหรับชนชั้นกลาง คำสอนว่า “รวยก่อนแก่” จะยิ่งกระตุ้นให้ชนชั้นกลาง ดิ้นรนหาเงินให้รวยเร็ว ๆ คนบางส่วนอาจจะหาเงินโดยไม่เลือกวิธีการ ซึ่งถ้าไปเลือกทางมิจฉาชีพ ก็จะซ้ำเติมปัญหาสังคมให้รุนแรงหนักขึ้น ทางที่ดี ทุกภาคส่วนของสังคมไทยควรจะมาร่วมด้วยช่วยกัน สร้างภาวะสังคมที่เอื้อให้มีโอกาสในการทำมาหากินได้สะดวกกหลากหลาย มีโอกาสเข้าถึงทุนได้ง่ายขึ้น แต่เราดูกฏหมายบ้านเมืองแล้ว ส่วนใหญ่กลายเป็นเป็นการปิดกั้นโอกาสในการทำมาหากินของคนเล็กคนน้อย การเข้าถึงทุนทำมาหากินของคนเล็กคนน้อยก็แสนยาก บีบคั้นให้จำต้องพึ่ง “หนี้นอกระบบ” ซึ่งทำนาบนหลังคน ขูดรีดอย่างทารุณและใช้วิธีการโหดร้ายในการทวงหนี้สิน การปกิรูปของ คสช. ซึ่งเดินตามแนวเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเป็นส่วนใหญ่ แบ่งปันเศษส่วนเล็ก ๆ ให้กับแนวเศรษฐศาสตร์ทางเลือกเท่านั้น ดังนั้นคนเล็กคนน้อยจึงฝากความหวังกับแนวการปฏิรุปของ คสช.ไม่ได้