ทวี สุรฤทธิกุล
“พวกเราขอให้สัญญากับคนไทยว่า
1. แม้รัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจะสร้างข้อจำกัดและอุปสรรคมากมายในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองให้แก่พวกเรา แต่พวกเราก็จะพร้อมใจกันร่วมในกิจกรรมทางการเมืองในลักษณะนั้นทุกอย่าง โดยไม่อิดออดหรือคิดให้ผู้มีอำนาจต้องปรับแก้ให้ก่อน โดยเฉพาะที่คาดการณ์ว่าจะมีการเลือกตั้งในปลายปี 2561 พวกเราก็จะส่งผู้สมัครทั้งแบบเขตและบัญชีรายชื่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
2. พวกเราจะผนึกกำลังกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อไม่ให้มีความขัดแย้งในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เราจะกระจายผู้สมัครอย่างเป็นระเบียบ เริ่มต้นจากการทำไพรมารี่โหวตก่อนส่งผู้สมัคร เพื่อหาผู้มีคะแนนนิยมสูงสุดในเขตเลือกตั้งนั้นให้เป็นผู้ได้สิทธิในการลงรับเลือกตั้งก่อน แน่นอนว่าเราจะให้เกียรติแก่พรรคที่เคยมีอดีต ส.ส.ในเขตนั้นให้ได้สิทธิในการลงรับเลือกในรอบไพรมารี่โหวตนี้เป็นหมายเลขหนึ่ง อย่างไรก็ตามด้วยความเคารพในระบอบประชาธิปไตย เราก็จะให้ผู้สมัครที่ได้คะแนนไพรมารี่โหวตเป็นอันดันแรกให้ได้เป็นผู้ลงรับสมัครเลือกตั้งในเขตนั้น แล้วจึงให้ผู้ได้คะแนนรองๆ ลงไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นลำดับถัดต่อกันไป
3. สำหรับ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เราถือว่าเป็นอิสระของแต่ละพรรคที่จะลำดับผู้อยู่ในบัญชีนั้น เพื่อไม่ให้แต่ละพรรคทะเลาะกัน ก็จะต้องมีการจัดการตกลงกันภายในของแต่ละพรรคให้เรียบร้อย หากว่ามีพรรคการเมืองใดมีปัญหาในภายหลังการเลือกตั้ง เราจะขอถือสิทธิตามสัญญานี้ไม่ให้พรรคการเมืองนั้นได้เข้าร่วมรัฐบาล เพราะเพียงแค่ปัญหาภายในของพรรคยังจัดการให้เรียบร้อยไม่ได้ แล้วจะมารับผิดชอบบ้านเมืองได้อย่างไร การลงโทษเช่นนี้จะทำให้พรรคการเมืองไทยมีระเบียบวินัยและน่าเชื่อถือศรัทธาได้เป็นอย่างดี
4. รัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งเราจะไม่เรียกว่า “รัฐบาลแห่งชาติ” (เพราะทุกรัฐบาลก็ต้องเป็นรัฐบาลของชาติอยู่แล้ว) แต่ถ้าสาธารณชนจะตั้งฉายาเพื่อให้เรียกได้ง่ายก็ขอให้เรียกว่า “รัฐบาลหนึ่งพรรค” คือ “พรรคแห่งการรวมหัวใจเพื่อประโยชน์สุขของคนไทยทุกคน” ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกเราจะเสนอชื่อหัวหน้าพรรคคนใดคนหนึ่งในบรรดาพรรคต่างๆ ที่มารวมกันเป็นหนึ่งนี้ให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เป็นไปตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยที่ว่า “ผู้ที่จะทำงานเพื่อประชาชนก็ต้องได้มาจากประชาชน”
5. พวกเราจะประสานการทำงานในสภาผู้แทนราษฎรกับรัฐบาลอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเช่นกัน โดยจะไม่หงุดหงิดที่อาจจะมีสมาชิกวุฒิสภาที่อยู่ข้างฝ่ายของอดีตผู้ปกครอง หรือคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติที่อดีตผู้ปกครองได้จัดตั้งไว้ คอยกำกับควบคุมนโยบาย หรือเข้าแทรกแซงการทำงานของสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนในคณะรัฐมนตรีและระบบราชการทั้งปวง เพราะเราจะทำงานอย่างมีสมาธิโดยยึดถือประโยชน์สุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง และหากเราถูกรังแก เราก็จะหันไปพึ่งประชาชนที่เลือกพวกเราเข้ามานั้นคอยปกป้องคุ้มครองเรา
6. พวกเราพรรคการเมืองทุกพรรคและนักการเมืองทุกคน จะตั้งใจทำงานอย่างซื่อสัตย์และเสียสละ จะไม่ทรยศคดโกงต่อประเทศชาติและประชาชน จะไม่ประพฤติตนลามก หยาบช้า ไร้ยางอาย จะพูดจากับประชาชนด้วยความสุภาพ จะวางตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ไม่พูดอย่างทำอย่าง จะไม่เลือกที่รักมักที่ชังหรือเล่นพรรคเล่นพวก จะให้ความยุติธรรมและความเสมอภาคเท่าเทียมแก่คนไทยทุกคนทุกพื้นที่ จะแก้ปัญหาต่างๆ อย่างฉับไว โปร่งใส ไม่หมดเม็ด ไม่มีนอกมีในและผลประโยชน์ทับซ้อน และจะประพฤติตนอยู่ในความดีงามนี้ให้มั่นคงตลอดไป หากพวกเราพรรคใดพรรคหนึ่งหรือนักการเมืองคนใดคนหนึ่งรวมตลอดจนถึงญาติพี่น้องและมิตรสหายของพวกเรา หากมีการละเมิดก็ต้องได้รับการพิจารณาโทษอย่างหนักโดยไม่ละเว้น
7. ให้ประชาชนโดยตัวแทนสาขาพรรคทุกพรรคมารวมกันเป็น “สมัชชาประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย” ที่จะต้องมีการประชุมกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อคอยให้ข้อแนะนำและให้การคุ้มครองดูแลแก่พรรคการเมืองและนักการเมืองทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในรัฐบาล ในเรื่องที่สำคัญ 3 เรื่อง คือ หนึ่ง การออกกฎหมาย การกำหนดหรือปรับแก้นโยบาย การบริหารราชการแผ่นดิน และการตรวจสอบประเมินผลควบคุมการทำงานของทั้งสองสถาบันนั้น รวมถึงการตั้งกรรมการเข้าจัดการเอาผิดและลงโทษแก่ผู้ที่ละเมิดสัญญาประชาคมฉบับนี้ สอง การผนึกกำลังในภาคประชาชนเพื่อสร้างความปรองดอง การแก้ไขความขัดแย้งในทุกพื้นที่ และช่วยกันป้องกันการปฏิวัติรัฐประหาร สาม คอยสอดส่องผู้ที่หรือขบวนการที่มีกิจกรรมที่เป็นอันตรายต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมถึงการรณรงค์ให้คนไทยและสังคมไทยอยู่ร่วมกันร่มเย็นเป็นสุข ภายใต้ชีวิตแบบพอเพียงและช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน
พวกเราต้องขอโทษประชาชนต่อความประพฤติที่ไม่ดีงามในอดีต ต่อการกระทำที่ทุจริตคดโกงชั่วช้า ต่อการทะเลาะเบาะแว้งที่มีพวกเราเป็นผู้ชักนำ และความหายนะในหลายๆ เรื่องที่มีพวกเราเป็นผู้ก่อ โดยขอสัญญาว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป “เราจะเป็นคนดี” และหวังว่าจะได้รับการให้อภัยจากคนไทยทุกคน เพื่อเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่สดใส และร่วมกันสร้างให้ประเทศไทยและคนไทย มีความสุข ความเจริญ อย่างยั่งยืนตลอดไป
ให้ไว้ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศไทยและสากลโลก
วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2561”