ความเคลื่อนไหวจากทุกพรรคการเมือง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการต่อสู้ในทุกสนามเลือกตั้ง กำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก แม้จะสวนทางกับการออกมาตอกย้ำจาก คนในรัฐบาล ว่ายังไม่มีการยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้งใหม่
โดยเฉพาะตัว "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ย้ำอยู่หลายรอบแล้วว่า รัฐบาลจะอยู่จนครบเทอม นั่นหมายความว่ายังเหลือเวลาอีก 1ปีครึ่ง
หรือแม้แต่หัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ อย่าง "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์" รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เอง ที่บอกกับสื่อว่าการที่นายกฯลงพื้นที่ ตรวจราชการในวันหยุดที่ผ่านมา อาจไม่เกี่ยวกับการส่งสัญญาณว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ก็ตาม
แต่ดูเหมือนว่า สำหรับ "นักการเมือง" แล้วย่อมประเมินทิศทาง ทางการเมืองได้ไม่ยากว่าทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นและเป็นไปได้หมด เมื่อ "สบจังหวะ" ดังนั้นหากใครออกตัวล่าช้ากว่าคู่แข่ง ย่อมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปโดยปริยาย
การเดินสายออกพบปะพี่น้องประชาชน ของแกนนำพรรคต่างๆ มีขึ้นถี่ยิบ และต้องไม่ลืมว่า วันนี้เมื่อมีความชัดเจนแล้วว่า หน้าตาของ "กติกาใหม่" ว่าด้วย "บัตร2ใบ" ที่จะใช้ในการเลือกตั้งรอบหน้า ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภามาแล้วอย่างฉลุย ที่เหลือเพียงแค่ต้องรอลุ้นว่ามี "ใคร" เข้าชื่อแล้วไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าเป็นการแก้ไขเกินกรอบหรือไม่
หมายความว่า วันนี้หากเอากติกาใหม่เป็นตัวตั้ง นั่นคือการมีบัตรเลือกตั้ง 2ใบ เลือกคนกับเลือกพรรค และมีส.ส.เขต 400 คน ส่วนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ มี 100 คนจึงทำให้พอได้เห็นหน้าค่าตากันแล้วว่า ในสนามเลือกตั้งรอบหน้า ใครจะเดินไปอย่างไรกันต่อ หรือใครควรจะเปิดแนวรบ เพื่อบุกเข้าทำคะแนนในพื้นที่ใด เพื่อกวาดที่นั่งส.ส.ทั้งระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อ
ความเคลื่อนไหวของนักการเมือง เวลานี้จึงไม่ได้อยู่ที่พรรคพลังประชารัฐ เพียงมิติเดียว เพราะแม้จะได้ชื่อเป็นพรรคใหญ่ที่อาจได้เปรียบกับบัตรเลือกตั้ง2ใบ เหมือนกันพรรคเพื่อไทยก็ตาม แต่อย่าลืมว่า ยังมีปัจจัยและเงื่อนไขการต่อสู้ในพื้นที่ ที่มีความได้เปรียบ เสียเปรียบแตกต่างกันไป
ที่เห็นได้ชัดเจนคือการประกาศตัวขอกลับเข้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างกลุ่มกลุ่มส.ส.สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดย "เจะอามิง โตะตาหยง" อดีตผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.) ซึ่งเป็นอดีตส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมพรรคพวกอีก 8 คนที่อยู่กับพรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้ลาออก และขอย้ายกลับพรรคประชาธิปัตย์ เรียกว่าสวมเสื้อพรรคเก่า พรรคใหญ่ ลงสู้ศึกเลือกตั้งรอบหน้า
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องบอกว่า ทุกความเคลื่อนไหวทางการเมือง จากทุกพรรคที่กำลังดำเนินอยู่นั้น ไม่อาจคลาดสายตา เพราะแม้พรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นหนึ่งในสามพรรคใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากบัตรเลือกตั้ง2ใบ แต่ไม่ได้หมายความว่า ประชาธิปัตย์ จะอยู่นิ่งเฉย รอสัญญาณเลือกตั้ง แล้วจึงค่อยขยับ !