แก้วกานต์ กองโชค การที่นักร้องชื่อดัง อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ “ตูน บอดี้สแลม” วิ่งระดมเงินซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยจะเริ่มต้นจากใต้สุด อ.เบตง จ.ยะลา ไปถึง อ.แม่สาย จ.เชียงราย รวมระยะทางทั้งสิ้น 2,191 กม. ระหว่างวันที่ 1 พ.ย. - 25 ธ.ค. 60 ภายใต้โครงการ "ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ตั้งเป้าระดมเงินบริจาค 700 ล้านบาท ทำให้เกิด “ข้อสงสัย” และ “คำวิจารณ์” ว่า เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ “บางคนได้แต่คิด คิดแล้วทำอะไรบ้าง นักวิชาการต้องดูฉลาด ต้องทำให้ดูแตกต่าง อย่างงั้นเหรอ? เป็นนักคิด นักวิชาการ แต่ไม่เห็นทำอะไรเลย ถามจริงๆ ก่อนที่เขาจะมามีข่าววิ่งเพื่อนำเงินบริจาคไปสร้างโรงพยาบาล พวกคุณไปอยู่ไหนกัน ทำอะไรกันอยู่ แล้วบอกการวิ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ แล้วต้นเหตุมันอยู่ไหนหละ นักวิชาการทำไมไม่แก้กัน?...” เสียงตอบโต้การวิจารณ์ “ก้าวคนละก้าว” ของพี่ตูน รายชื่อ รพ. ที่จะได้รับเงินไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้ประกอบด้วย 1.โรงพยาบาลยะลา 2.โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี, 3.โรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี 4.โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จ.สุพรรณบุรี 5.โรงพยาบาลสระบุรี 6.โรงพยาบาลขอนแก่น 7.โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี 8.โรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่ 9.โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ 10.โรงพยาบาลน่าน ซึ่งไม่ใช่โรงพยาบาลศูนย์ แต่อยู่ในพื้นที่พิเศษห่างไกลจากตัวเมือง และ 11.โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ก่อนหน้านี้ ตูน บอดี้สแลม เคยวิ่งระดมเงิน โครงการ #ก้าวคนละก้าว เพื่อโรงพยาบาลบางสะพาน นำทีมออกวิ่ง 10 วัน (1-10 ธ.ค.) วันละ 40 กม. รวมระยะทาง 400 กม. จาก กรุงเทพฯ – อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อระดมทุนทรัพย์ในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่ยังขาดแคลนให้กับโรงพยาบาลบางสะพาน จนสามารถหาเงินได้ถึง 85 ล้านบาท คำวิจารณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยก็คือ คำวิจารณ์จากกลุ่มเสื้อแดงเพื่อโยงใยไปยัง “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” ตูน บอดี้สแลม ชี้แจงการวิจารณ์ดังกล่าวอย่างนุ่มๆว่า “การวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิทธิส่วนบุคคล เราบังคับให้ใครเห็นด้วยทั้งหมดไม่ได้ แต่อยากบอกว่า ที่ออกมาวิ่ง เราแค่อยากเป็นส่วนเล็กๆ ที่ได้ช่วยเหลือตามกำลังของเรา อยากใช้โอกาสนี้ในการสื่อสารในสิ่งที่เราเห็นมา” “มีคนส่งให้อ่านบ้าง ผมเคารพหมด คำวิจารณ์บางครั้งก็เป็นประโยชน์ ผมรับฟังนะครับ ทุกอย่างเป็นเรื่องดี ผมน้อมรับคำติคำวิจารณ์” “คิดว่าเป็นอีกหนึ่งกระบวนการ ไม่ว่าทำอะไรก็ตามก็ต้องเจอปัญหาในงานอยู่แล้ว ต้องก้าวข้ามหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ต้องเจอและจัดการ แม้กระทั่งจัดการกับอารมณ์ตัวเองก็ต้องทำให้ได้” “สุดท้ายผมใช้ปลายทางที่เราทำประโยชน์มากกว่า ไม่รู้มากน้อย แต่ขอให้มีประโยชน์สักหน่อย มันอาจจะมีหลายๆ ชีวิตได้รับการรักษา หลายชีวิตในโรงพยาบาลสบายขึ้น ผมเอาตรงนี้เป็นเป้าหมาย ต้องย้อนกลับไปคิดว่าวันแรก เหตุที่เราออกมาทำนั้นเพื่ออะไร เพราะจริงๆ ผมอยู่เฉยๆ ก็ได้ มีความสุขดี ไม่ต้องออกมาทำอะไรแบบนี้” “ผมชอบทำมากกว่าพูดครับ...” แม้ว่าก่อนหน้านี้นักเขียนสารคดีคนหนึ่งประกาศว่า “พี่ตูนจะไม่ได้เงินจากผมแม้แต่บาทเดียว” เพราะมองว่าการวิ่งครั้งนี้เป็นแค่การแก้ปัญหาระยะสั้น กลบปัญหาให้รัฐบาลทหาร และตอบสนองสลิ่มในทุ่งลาเวนเดอร์ไปวันๆ ขณะที่นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ชื่อดังรายหนึ่ง ก็โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “โลกสวยๆ what a beautiful world” ล่าสุด เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้าแจ้งความต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.)ให้ดำเนินคดีกับร.ท.หญิง สุนิสา เลิศภควัต อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ในความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และกฎหมายอาญามาตรา 116 หลังจากโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียระบุถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เปิดทำเนียบรัฐบาลต้อนรับนายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้แสลม แต่ไม่เปิดรับม็อบโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ว่า การกระทำดังกล่าวถือว่าเลยเถิด ดูหมิ่น และเยียดหยาม เพราะเรื่องนี้เป็นคนละบริบท จะนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ นั่นทำให้ ความเชื่อของสังคมไทยว่า การทำความดีย่อมมีอุปสรรค มีจริง !!! ที่สำคัญ “ปรากฏการณ์ ตูน บอดี้สแลม” คงไม่สามารถให้ “นักการเมืองคนไหน” เลียนแบบได้ เพราะได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม และเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เขาทำเพื่อผู้ป่วยในโรงพยาบาลศูนย์ฯทั้ง 11 แห่ง โดยไม่มีอะไรแอบแฝง ในทางตรงกัน “ปรากฏการณ์นี้ “กลับสะท้อนมิติประสิทธิภาพประสิทธิผลสร้างสวัสดิการของรัฐไทยอย่างถึงรากเหง้า แสดงให้เห็นถึง “ความล้มเหลว” ของภาครัฐในการจัดสวสัดิการการรักษาพยาบาล จนกระทั่งต้องอาศัย “นักร้องคนดัง” ระดมทุนจากประชาสังคมทั่วประเทศเพื่อนำมาซึ่งเครื่องมือทางการแพทย์ รพ.ศูนย์ทั้ง 11 จะขาดงบประมาณหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นก็คือ ปรากฎการณ์ ตูน บอดี้สแลม บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า สังคมไทยหวังพึ่งสวัสดิการจากภาครัฐอย่างเดียวไม่เพียงพอแล้ว !!!