เรื่อง “ความยากจน” นั้น เมื่อจะพูดกัน ควรทำข้อตกลงกัไว้ก่อนให้ชัดเจน ว่าผู้พูดกำลังจะพูด “ด่นใด” ของเรื่องความยากจน และความหมายเรื่อง “ตวามยากจน” ที่พูดพุดกำลังจะกล่าวถึง มิฉะนั้นก็จะไม่เข้าใจกัน เข้าใจผิดกัน และวิวาทะกันได้ง่าย ๆ เช่น เรื่องความยากจนในด้นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ เรื่องความยากจนในด้านศาสนธรรม ฯลฯ มันคนละเรื่อง หากนำมาถกในวงเดียวกัน ก็จะพูดกันไม่รู้เรื่อง ก่อนที่เราจะเสนอความเห็นวิพากย์วิจารณ์สังคม เราจึงขอเผยแพร่มุมมองทางทฤษฎีเศษฐศาสตร์เอาไว้ก่อน คำอธิบายนี้มาจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จึงเป็นคำอธิบายเชิงวิชาการ “ 1.การวัดความยากจนเชิงสัมบูรณ์ เป็นการพิจารณาความยากจนโดยใช้เกณฑ์แบบสัมบูรณ์ เป็นการกำหนดระดับความยากจนที่ชัดเจน โดยคำนวณความต้องการขั้นพื้นฐานในการดำรงชีพออกมาเป็นตัวเงิน ซึ่งกำหนดปริมาณเงินหรือรายได้ขั้นต่ำที่มนุษย์จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยจะใช้เส้นความยากจน (Poverty Line) เป็นเครื่องชี้วัดความยากจน เป็นเกณฑ์ที่จะสะท้อนระดับค่าครองชีพขั้นต่ำที่สุดที่มนุษย์จะยังชีพอยู่ได้ ดังนั้นใครที่มีรายได้ต่อคนต่อเดือนต่ำกว่าเส้นความยากจนถือว่าเป็นคนยากจน การหาเส้นความยากจนจะยึดหลักรายได้ที่เพียงพอต่อการบริโภคขั้นพื้นฐานโดยคำนวณจากจำนวนของแคลลอรี่ของอาหารที่จำเป็นต้องบริโภคและค่าใช้จ่ายอื่นๆที่จำเป็นต่อการดำรงชีพเช่น ค่าเช่าบ้าน เสื้อผ้า ซึ่งมีหน่วยงานสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะจัดทำเส้นความยากจนทางการแสดงถึงเส้นความยากจนที่แบ่งตามเขตพื้นที่ในเขตและนอกเขตเทศบาลของแต่ละภาค 2.การวัดความยากจนเชิงสัมพัทธ์หรือเชิงเปรียบเทียบ พิจารณาความยากจนโดยเปรียบเทียบระดับรายได้ต่างๆของประชากรแต่ละกลุ่ม ซึ่งเป็นเครื่องชี้สภาวะการกระจายรายได้ การวัดความยากจนเชิงสัมพัทธ์หรือเชิงเปรียบเทียบ มี 2 วิธี คือ 2.1 การเปรียบเทียบระดับรายได้ต่างๆของประชากรแต่ละกลุ่มว่ามีความแตกต่างในส่วนแบ่งของรายได้ทั้งหมดอย่างไร โดยแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มๆ และกำหนดเป็นร้อยละ เช่น กลุ่มที่ 1 ร้อยละ 20 ของครัวเรือนที่อยู่ช่วงระดับรายได้ต่ำสุดเป็นครัวเรือนยากจนที่สุด กลุ่มที่ 2 ร้อยละ20ของครัวเรือนที่อยู่ในช่วงรายได้สูงขึ้นมาถือว่ายากจนน้อยกว่า กลุ่มที่ 3 ร้อยละ20ของครัวเรือนที่อยู่ในช่วงรายได้สูงขึ้นมาถือว่าฐานะปานกลาง กลุ่มที่ 4 ร้อยละ20ของครัวเรือนที่อยู่ในช่วงรายได้สูงขึ้นมาถือว่าฐานะดี กลุ่มที่ 5 ร้อยละ20ของครัวเรือนที่อยู่ในช่วงรายได้สูงสุดซึ่งสามารถแสดงถึงความเหลื่อมล้ำการกระจายรายได้ 2.2 การเปรียบเทียบรายได้ของคนจนกับรายได้เฉลี่ยของคนทั้งประเทศ เป็นการเปรียบเทียบว่าใครมีรายได้ต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยของคนทั้งประเทศได้ 3.การวัดความยากจนโดยใช้ข้อมูลความจำเป็นขั้นพื้นฐาน (จปฐ) การวัดความยากจนเชิงคุณภาพ โดยใช้ข้อมูลความจำเป็นขั้นพื้นฐาน เพื่อเน้นคุณภาพชีวิตที่กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำไว้ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้จัดทำตัวชี้วัดความจำเป็นขั้นพื้นฐาน (จปฐ) ซึ่งได้สำรวจจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลในระดับครัวเรือนในหมู่บ้าน นอกเขตเทศบาลตั้งแต่ปี 2531 จนถึงปี 2540 มีการปรับปรุงเครื่องชี้วัดความจำเป็นขั้นพื้นฐาน (จปฐ) และสามารถแบ่งได้เป็น 8 หมวดได้แก่ สุขภาพอนามัยดี ที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม , ได้รับการศึกษาและรับรู้ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ , ครอบครัวสุขสบาย , มีอาชีพและรายได้พอเพียง , มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน , มีการพัฒนาจิตใจ , จิตสำนึกและร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ถ้าวัดความยากจนจาก “จปฐ” แปดประการข้างต้นจะได้ข้อสรุปที่น่าเศร้ามากว่าสังคมไทยยากจนมากเหลือเกิน คือไม่สามารถร่วมพัฒนาชุมชนและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะรัฐบาลห้าม