บรรยากาศการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 6 ราย ตลอดสามวันที่ผ่านมา ไม่มีอะไรที่เรียกกว่าหวือหวาเท่าที่ "ฝ่ายค้าน" โปรโมทเอาไว้ มิหนำซ้ำ ยังกลายเป็นว่า "ฝ่ายรัฐบาล" ยังเตรียมตัว เตรียมการ "ตั้งรับ" และยังเปิด "เกมรุก" เอาคืน ด้วยการใช้กฎหมาย และข้อบังคับ ดำเนินการตรวจสอบกลับ "ฝ่ายค้าน"
โดยในกรณี "นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว" ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย และ "ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์" ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ที่ถูก "วอร์รูมนอกสภาฯ" ของฝ่ายรัฐบาล ที่ประกาศ "จัดหนัก" ด้วยการยื่นหนังสือ ต่อ "ชวน หลีกภัย" ประธานรัฐสภา ให้ดำเนินการตรวจสอบ นพ.ชลน่าน ที่อภิปรายกล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กระทรวงสาธารณสุข และศบค.ตบแต่งตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 (ศบค.) เนื่องจากผิดจริยธรรมร้ายแรงและเพื่อที่จะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ส่วนในรายของ ณัฐชา พรรคก้าวไกล ที่ใช้หลักฐานอันเป็นเท็จกล่าวหากองทัพภาคที่ 2 ใช้กระบวนการไอโอเอามาอ้างเอามาทำลายนายกรัฐมนตรีและกองทัพ จนถูกกองทัพภาคที่ 2 ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษที่ สถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา ว่าเอกสารที่ณัฐชา เอามาอภิปรายนั้นเป็นเอกสารเท็จ ขณะที่เจ้าตัวยืนยันว่า เอกสารที่นำมาใช้อภิปรายฯ เมื่อวันที่ 1 ก.ย.นั้นเป็นของจริง
อีกไม่กี่ชั่วโมง เมื่อศึกในสภาฯ ยุติลง ซึ่งตามที่ "สุทิน คลังแสง" ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ระบุว่าการอภิปรายสรุปก่อนปิดฉากศึกซักฟอก จะเสร็จสิ้นภายในช่วงเย็นของวันที่ 3 ก.ย. ซึ่งถือว่าเร็วกว่ากำหนดเวลาเดิมที่วางกันเอาไว้ถึงช่วงดึก ในวันเดียวกัน
ประเด็นที่ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น แทบไม่มีเรื่องใหม่ แตกต่างไปจากที่เคยมีข่าวคราวกันมาก่อนหน้านี้ และน่าสนใจว่า การชี้แจงในสภาฯของ "ฝ่ายรัฐบาล" เองก็ไม่ได้ใช้เวลากันยืดยาว จนผิดคาด แต่ทั้งนี้ความวุ่นวายทางการเมือง กลับถูกโฟกัสกันที่ "วันโหวต" ลงมติไว้วางใจ "นายกฯ" กับอีก "5 รัฐมนตรี" ในวันเสาร์ที่ 4 ก.ย.นี้ ในช่วงเช้า ว่าที่สุดแล้ว "ความขัดแย้ง" ที่ปะทุขึ้นภายในพรรคพลังประชารัฐ จนทำให้ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ สยบ "ข่าวลือ" ว่าไม่เคยมีความคิดเรื่องนยุบสภาฯ หรือปรับครม. อยู่ในหัว
หากจับสัญญาณจากการให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา จะพบว่านายกฯไม่เพียงแต่จะมีท่าทีที่แข็งกร้าว ไม่สนใจต่อเกมต่อรองอำนาจ ภายในพรรคพลังประชารัฐจาก บางกลุ่ม บางขั้วในพรรคแกนนำรัฐบาล ที่ฉวยโอกาส "กดดัน" ผู้นำรัฐบาล ในช่วงหน้าสิ่ว หน้าขวาน แต่อย่างใด
เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ตอบคำถามสื่อ ว่าตนเองคงไม่ต้องไปสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นจาก "บิ๊กป้อม"พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หรือไม่ ว่าทำไมต้องมีการบีบนายกฯ เกิดขึ้น
"ผมไม่จำเป็นต้องไปถามให้เสียศักดิ์ศรี พล.อ.ประวิตรยืนยันกับตนมาโดยตลอดทุกวัน ก็ได้คุยกับท่านตั้งแต่มีข่าวเรื่องนี้เกิดขึ้น ก็บอกว่าจะสืบจะสอบให้ วันนี้ก็มีการสอบแล้ว พล.อ.ประวิตรก็บอกผมว่าไม่มี อาจจะหลงหูหลงตาหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ"
ทั้งนี้น่าสนใจว่าปฏิบัติการ "ล้มนายกฯ" ที่ผุดขึ้นมาในห้วงเวลาที่รัฐบาล โดยเฉพาะตัวพล.อ.ประยุทธ์ กำลังรับมือกับศึกอภิปรายฯ และยังเป็นจังหวะที่ "ผู้นำรัฐบาล" ต้องการ "เสียงไว้วางใจ" จากพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะจากพรรคพลังประชารัฐ กลับเกิดปัญหา "ท้าทายอำนาจ" ชนิดที่เรียกว่าไม่เกรงใจพล.อ.ประยุทธ์ เช่นนี้ แม้ฉากหน้าในวันลงมติไว้วางใจ จะจบลงไป ในวันเสาร์ที่ 4 ก.ย.ไปแล้ว ก็ย่อมไม่ได้หมายความว่า "ศึกใน" ภายในพลังประชารัฐ จะปิดฉากลงไปด้วย
ยิ่งเมื่อมีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังเรียกรัฐมนตรีบางรายเข้าพบเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ขณะเดียวกัน อย่าลืมว่า ข้างกายนายกฯ ยังมี "ทีมเสธ." ที่เป็นมือเป็นไม้อีกทางหนึ่ง สถานการณ์ภายในพรรคพลังประชารัฐ จึงระอุยิ่งสนามไหนๆ!