วาระการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เริ่มพิธีกรรมขึ้นเป็นวันแรกเมื่อ31 ส.ค.64 ที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าไฮไลต์ของการเมืองกลับไม่ได้อยู่ที่ "พรรคฝ่ายค้าน" เท่าที่ควรจะเป็น !
เมื่อในความเป็นจริงแล้วกลับพบว่า ความเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยความเข้มข้น เปิดฉากต่อรองกันอย่างหนัก กลับไปเทน้ำหนักอยู่ที่แต่ละพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็น "ฝ่ายค้าน" หรือ พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองก็ตาม !
การทำหน้าที่ในฐานะ "ฝ่ายตรวจสอบ" การบริหารงานของรัฐบาล ในวาระการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ด้วยการซักฟอกกันตั้งแต่หัวแถว ทั้ง "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รอบนี้แม้จะประกาศว่าภายหลังการอภิปรายฯเสร็จสิ้นลง สังคมจะได้เห็น "ความเปลี่ยนแปลง" เกิดขึ้น ไปถึงขั้นที่ว่านี่คือ ครั้งสุดท้ายสำหรับ "ระบอบประยุทธ์"
ทว่าลึกๆแล้ว ฝ่ายค้านเองต่างรับรู้กันดีว่า การเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นย่อมไม่เกิดขึ้น จากแรงกดดันจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯหรือแม้แต่การเปิดหน้ากดดัน "นอกสภาฯ"จากผู้ชุมนุมสารพัดม็อบที่นัดหมาย จัดกิจกรรมต่อต้านรัฐบาล ควบคู่ไปกับการประชุมสภาฯในห้วงสัปดาห์นี้อย่างแน่นอน
ยิ่งเมื่อบรรยากาศความอึมครึมจาก "ความขัดแย้ง" ที่ผุดขึ้นเป็นระลอกในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง หรือแม้แต่ "ศึกใน" จากพรรคประชาธิปัตย์ที่ประสบปัญหา "ฝ่ายค้าน" ในรัฐบาล เมื่อมีกลุ่มส.ส.ของพรรคแสดงตนอยู่ฝ่ายตรงข้ามพล.อ.ประยุทธ์ มาโดยตลอด จนส่งผลต่อการโหวตลงคะแนนไว้วางใจกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็น ภาพสะท้อนที่ทำให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว "ศึกใน" ภายในรัฐบาล และปัญหาการควบคุมเสียงกันเองภายในพรรคร่วมรัฐบาล คือ "เงื่อนไข" ที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงภายในรัฐบาลมากกว่าปัจจัยภายนอก !
อย่างไรก็ดี จุดโฟกัสหลัก กำลังพุ่งไปยังความเป็นไปภายในพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค ว่าจะส่งสัญญาณอย่างใด อย่างหนึ่งหรือไม่ ทั้งต่อปัญหาการเดินเกมต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีกันเอง ระหว่างกลุ่มการเมืองที่หวังจะใช้ "ผลโหวต" จากการลงมติไว้วางใจรัฐมนตรี ในวันเสาร์ที่ 4 ก.ย.นี้เป็น "เงื่อนไข" เสนอให้ "ปรับครม."
ขณะเดียวกันยังต้องไม่ลืมว่า ท่าทีของพล.อ.ประวิตร ในฐานะ "ผู้จัดการรัฐบาล" ยังมีผลต่อ "ความสัมพันธ์" ระหว่าง "แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล" ด้วยกันเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางกระแสข่าวลือไปถึงการปรับเปลี่ยน "สูตรรัฐบาล" หลังเสร็จศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
การออกมายืนยันจาก อนุทิน ว่าตนเองได้ต่อสายตรงถึง พล.อ.ประวิตร พูดคุยกันเรื่องความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รวมถึงความมั่นใจเรื่องเสียงโหวต ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเรียบร้อยแล้ว "มีความมั่นใจ เพราะพล.อ.ประวิตรบอกว่า เชื่อพี่คนเดียว ไม่ต้องคุยกับใคร เราต่างเป็นหัวหน้าพรรคด้วยกันก็ต้องเชื่อกัน ถ้าไม่เชื่อหัวหน้าพรรคแล้วจะไปเชื่อใคร"(31 ส.ค.64)
ความมั่นใจที่อนุทิน แสดงออกก่อนถึงชั่วโมงเข้าสู่วาระการอภอปรายไม่ไว้วางใจในช่วงเช้าเมื่อวันที่ 31 ส.ค.64 มีขึ้นในห้วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่ "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กำชับสมาชิกพรรคให้โหวตสนับสนุนนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายทุกคนโดยพร้อมเพรียงกัน เพราะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกัน ต้องช่วยกัน ไว้วางใจกัน หมายความว่าจะต้องไม่มีรายการ "โหวตสวน" กับมติพรรค หรือเปิดให้ "ฟรีโหวต" ให้ปรากฎ
สัมพันธภาพระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะ พรรคพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ กำลังถูกทดสอบอีกครั้งในศึกอภิปรายฯนัดนี้ ก่อนปิดสมัยประชุมฯ !