ความสำคัญของศึกซักฟอกก่อนเลือกตั้งท้องถิ่น

เดือนสิงหาคมกำลังจะผ่านไป ก้าวย่างเข้าสู่เดือนกันยายน ไฮไลต์ปฏิทินการเมืองที่น่าสนใจคือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่รอบนี้ฝ่ายค้านมีกลยุทธ์ใหม่รณรงค์ให้ประชาชนร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาล ผ่าน https://www.change.org/prayutgetout ในหัวข้อ “ลงมติประชาชน รวมพลไล่ประยุทธ์”ด้วย ถือว่าเป็นวิธีการที่น่าสนใจ ในการเพิ่มน้ำหนักให้กับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังจากที่ถูกปรามาศว่าเป็นเพียงพิธีกรรมที่ไม่สามารถสร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ เนื่องจากคะแนนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลที่มากกว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านอยู่ 58 เสียง ยังไม่นับรวมส.ส.ในพรรคร่วมฝ่ายค้านที่พร้อมจะยกมือสวนทางกับมติพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือ “งูเห่า” ในทางการเมือง ดังนั้น หากจะหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เสียงสะท้อนจากประชาชนจะเป็นหลักฐานสำคัญ สร้างแรงเสียดทานไปยังนอกสภาผู้แทนราษฎรที่การเคลื่อนไหวของมวลชนขับเคลื่อนคู่ขนาน รับส่งแรงกระแทกระหว่างกัน และอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ เกิดขึ้น แต่เวทีนี้ก็จะเป็นเวทีหาเสียงให้กับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ด้วยสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุก่อนหน้านี้ อาจมีรูระบายทางการเมืองด้วยการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้นในห้วงของปลายปี โดยหากไม่มีอะไรผิดพลาด ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มลดลง หลังเลยจุดสูงสุดในเดือนสิงหาคมอย่างที่พล.อ.ประยุทธ์คาดหวังไว้ ภายในเดือนกันยายนนี้ก็จะมีการกำหนดวันเลือกตั้งออกมา โดยเป็ฌนการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น ทั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ที่จะครบวาระในเดือนกันยายนนี้ และอาจมีการเสนอให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในคราวเดียวกัน หากกระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการการเลือกตั้ง หารือกันได้ข้อสรุปแล้ว ครม.มีมติออกมาภายในเดือนกันยายนนี้ หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้มีการเลือกตั้งภายใน 60 วัน + 1 สัปดาห์ โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนพฤศจิกายน สนามเลือกตั้งท้องถิ่นนี้เป็นสนามสำคัญ ทั้งเป็น “สนามซ้อม” ก่อนการเลือกตั้งส.ส.ที่คาดว่าจะมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในช่วงกลางปี 2565 เท่านั้น และวางฐานคะแนนเสียงไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ด้วย ดังนั้นเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจนี้ จึงเป็นเวทีสำคัญของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยเช่นกัน ไม่เฉพาะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 5 คนเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วทุกพรรคการเมืองก็จะต้องกลายเป็นคู่แข่งกันในการเลือกตั้ง