ดร.วิชัย พยัคฆโส
[email protected]
ม็อบรายวันเริ่มหัวร้อนและรุนแรงมากขึ้นทุกวัน จนมองไม่เห็นว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด เป็นปรากฏการณ์ของการเคลื่อนไหวนอกสภาที่คุกรุ่นเพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง รวมถึงกระจายออกไปสู่จังหวัดต่างๆมากกว่า 30 จังหวัด
โดยหลักการของสงครามกลางเมือง มีขั้นตอนของการเคลื่อนไหวเป็นขั้นเป็นตอน อาจจะเป็นเพราะถูกยุยงส่งเสริมหรือโดยความสมัครใจเองที่ถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจอันเกิดจากโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนไม่มีทางเลือกร่วมม็อบต่อต้านนายกรัฐมนตรี อย่างเอาเป็นเอาตาย โดยมีขั้นตอนดังนี้
1.โฆษณาชวนเชื่อ
2.ดิสเครดิตผู้จงรักภักดี
3.บังคับให้ประชาชนเลือกฝ่าย
4.ก่อการประท้วง
5.ก่อการจลาจล
6.ก่อวินาศกรรม
7.สงครามกลางเมือง
ปัจจุบันม็อบให้กำเนิดตามขั้นตอนมาถึงขั้นตอนที่ 5 แล้ว คือ ก่อการจราจลในบางจุดของกรุงเทพมหานคร และน่าจะปะทุต่อไปหรือไม่อยู่ที่รัฐบาลจะปรับแก้อย่างไร เพราะนอกเหนือจากม็อบนอกสภาแล้วยังมีฝ่ายค้านรวมกันยื่นให้ศาลพิจารณาความผิดและความบกพร้องของนายกรัฐมนตรีอีกทางหนึ่งเป็นการกดดันนายกรัฐมนตรี
และแล้วท้ายสุดการใช้สภาผู้แทนราษฎรของฝ่ายค้านได้ร่วมกันยื่นญัตติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและเจ้ากระทรวงอีก 5 ราย ในข้อหาต่างกันไป แต่นายกรัฐมนตรีเน้นเกี่ยวกับการบริหารจัดการโควิด-19 และการบริหารประเทศ ปลายเดือนนี้จะได้รู้ว่าจะดุเดือดเพียงใด
นับเป็นการกดดันนายกรัฐมนตรีรอบตัวตั้งแต่ม็อบนอกสภา การฟ้องร้องต่อศาล และการมีมติไม่ไว้วางใจในสภา คาดว่าฝ่ายค้านคงหวังผลสัก 1 เคส คงได้ผลบ้าง แต่ที่น่าห่วงคือม็อบนอกสภา ไม่ทราบว่าจะบานปลายไปถึงไหน อาจถึงกับทำให้ประเทศชาติต้องตกต่ำลงไปมากกว่านี้อีก เหมือนปี 2557 อีกหรือไม่
น่าเห็นใจนายกรัฐมนตรีที่ศัตรูรอบตัว ยังไม่ทราบว่าจะหาทางออกหรือทางลงจากตำแหน่งกันอย่างไร อาจจะทนอยู่จนครบวาระของตนเองหรืออาจจะยุบสภาหลังผ่านมติความไม่ไว้วางใจก็เป็นไปได้