แม้จะสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้อย่างรวดเร็ว แต่ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ก็ต้องบอบช้ำสาหัส จากข่าวฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เป็นปัจจัยแทรกซ้อนเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ที่ซ้ำเติมวิกฤติของภูเก็ต แม้ข้อมูลจาก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะสรุปโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ หลังเปิดโครงการฯ ครบ 1 เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ 1-31 กรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยว14,055 คน เป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกามากที่สุด 1,802 คน รองลงมาคือสหราชอาณาจักร 1,558 คนอิสราเอล 1,455 คน เยอรมนี 847 คน และฝรั่งเศส839 คน ก่อให้เกิดการจองห้องพักโรงแรมที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและสุขอนามัย SHA+ จำนวน190,843 คืน แม้จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 14,055 คน จะหลุดจากเป้าหมายซึ่งตั้งไว้ที่ 20,000 คนตลอดเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ก็นับว่าประสบความสำเร็จที่สามารถเปิดดำเนินโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ได้ภายใต้วิกฤติการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 4 อันรุนแรงของประเทศไทย นอกจากโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์จะช่วยสร้างรายได้แก่ภูเก็ต 829 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวคนละ 58,982 บาทต่อทริปแล้ว ยังสร้างเงินหมุนเวียนที่ก่อให้เกิดรายได้ต่อระบบเศรษฐกิจทั้งหมดรวม 1,925 ล้านบาท สร้างผลตอบแทนในรูปของเงินเดือนค่าจ้าง ค่าตอบแทนให้กับพนักงานและลูกจ้างทั้งหมดเป็นมูลค่า 210 ล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างงาน รักษาตำแหน่งงานเทียบเท่าระยะเวลา1 ปี (Full Time Equivalent) จำนวน 2,719 คน อีกด้านหนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม (HSI) ในเดือนก.ค. 2564 ซึ่ง ธปท. ได้จัดทำร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย โดยได้ทำการสำรวจจากผู้ประกอบการที่พักแรม 304 แห่ง (เป็น ASQ 28 แห่ง Hospitel 4 แห่ง) ระหว่างวันที่ 13-26 ก.ค. 2564 พบว่า ผู้ประกอบการที่พักแรมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ต่อเนื่อง โดยอัตราการเข้าพักยังอยู่ในระดับต่ำมาก เฉลี่ยอยู่ที่ 10% ซึ่งทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ หากไม่รวมกลุ่มที่ปรับตัวมารับลูกค้าต่างชาติที่ทำงานในไทย และ workation, staycation รวมถึงกลุ่มที่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามโครงการแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งส่วนมากเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในเดือน ก.ค. 2564 จะอยู่ที่เพียง 6.5% เท่านั้น ส่วนคาดการณ์อัตราการเข้าพักทั้งประเทศในเดือน ส.ค. 2564 จะปรับลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 8% เท่านั้น โดยทุกภูมิภาคของประเทศไทยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยต่ำกว่า 10% โดยจากอัตราการเข้าพักที่ลดลงดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบให้ 58% ของโรงแรมที่เปิดกิจการอยู่ มีสภาพคล่องลดลงมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และเพียงพอในการดำเนินธุรกิจได้ไม่เกิน 3 เดือน และมีอีก 23% ที่มีสภาพคล่องเพียงพอไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งกระจายอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ ขณะที่ 57% ของโรงแรมที่เปิดกิจการอยู่ทั้งหมด รายได้ยังกลับมาไม่ถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ พบว่า ในเดือน ก.ค. 2564 มีโรงแรมกว่า 22% ต้องปิดกิจการชั่วคราว เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยจากข้อมูลสรุปผลการสำรวจจากโรงแรมจำนวน 22 แห่ง (ไม่รวมโรงแรมที่เป็น ASQ และ Hospitel) พบว่า 56% ของโรงแรมที่ปิดกิจการชั่วคราวนั้น คาดว่าจะกลับมาเปิดกิจการได้อีกครั้งในไตรมาส 4/2565 และราว 13.6% คาดว่าจะกลับมาเปิดกิจการได้ในไตรมาส 1/2565 ส่วนอีก 6.8% คาดว่าจะกลับมาเปิดกิจการได้ในไตรมาส 2/2565 และอีก 11.9% จะกลับมาเปิดดำเนินกิจการได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 สำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ส่งผลบวกต่ออัตราการเข้าพักโดยรวมไม่มากนัก โดยพบว่า 50% ของโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต มองว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมที่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นไปตามที่คาด ซึ่งมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 16% ขณะที่อีก 43% ของโรงแรมในจังหวัดสุราษฎร์ธานีมองว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมที่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้แย่กว่าที่คาด โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่อยู่ในระดับต่ำเพียง 6% เท่านั้น และพบว่า ผู้ประกอบการโรงแรมกว่า 69% เห็นด้วยกับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยส่วนใหญ่เป็นโรงแรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการในธุรกิจโรงแรมยังต้องการให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือ ได้แก่ 1. การจัดหาและกระจายวัคซีนให้เร็วกว่าแผน 2. การพักชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ย 3. การสนับสนุนค่าจ้างพนักงานเดิม อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์เสียชีวิตของนักท่องเที่ยวในโครงการภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์ ทำให้จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่เปิดโครงการ “สมุยพลัสโมเดล” ยกระดับมาตรการคุมเข้มนักท่องเที่ยวอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ก้าวลงเครื่องที่สนามบิน จนเข้าที่พัก และออกไปเที่ยว โดยใน 14 วันแรก นักท่องเที่ยวจะต้องเที่ยวในเส้นทางที่ทางจังหวัดเป็นผู้กำหนดเพื่อเป็นการควบคุมความปลอดภัย และป้องกันโควิด-19 ด้วย แต่หลังจากนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้ภายในจังหวัด จึงมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจตราในแหล่งท่องเที่ยวที่อาจจะเปลี่ยว หรือมีคนเที่ยวน้อย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว เราภาวนาอย่าให้เกิดเหตุการณ์ร้ายใดๆ ทั้งกับคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติซ้ำรอยอีก เพราะแค่วิกฤติโควิดก็ทุบจนโงหัวไม่ขึ้น หากมีฝันร้ายมาซ้ำเติมอีก ประชาชนจะลืมตาอ้าปากได้วันไหน