ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การระบาดไม่มีท่าทีจะยุติลงได้ แม้จะมีการล็อกดาวน์มาแล้วกว่า 1 เดือน ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อยิ่งมาก ก็ทำให้ยิ่งมีความกังวลเรื่องของไวรัสกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ แอฟริกาและอินเดีย
ทั้งนี้นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ระบุว่า ยิ่งระบาดหนัก ยิ่งระบาดนาน ยิ่งเกิดสายพันธุ์ใหม่ เพราะทุกครั้งที่แบ่งตัว มีโอกาสเพี้ยนได้ตลอดเวลา การฉีดวัคซีนกระตุ้นต้องเดาและคาดว่า จะใช้วัคซีนป้องกันสายพันธุ์ไหนกี่สายพันธุ์ด้วย
พร้อมเปิดเผยบทวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเตือนว่า โลกได้เข้าสู่ระยะใหม่ที่อันตราย เนื่องจากคลื่นลูกที่สามของ coronavirusสร้างแหล่งเพาะพันธุ์ที่อุดมสมบูรณ์ สำหรับสายพันธุ์ใหม่ที่ติดเชื้อ และอาจต้านทานวัคซีนได้มากขึ้น
น.พ.นิธิ ยังอ้างผลการศึกษาโดยสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งออสเตรีย ซึ่งตีพิมพ์เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 ในรายงานทางวิทยาศาสตร์ พบว่า อันตรายของสายพันธุ์ที่ดื้อต่อวัคซีน จะเพิ่มขึ้น เมื่อมีประชากรมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และควบคุมด้วยมาตรการอื่น ๆ โดยเฉพาะการสวมหน้ากาก และการจำกัดการติดต่อทางสังคม ถูกยกเลิกออกไป และจะนำไปสู่วิวัฒนาการของสายพันธุ์ดื้อยาต่อเนื่อง และจะต้องมีการพัฒนาวัคซีน ให้ตามทันกับสายพันธุ์ใหม่
ความหวังจึงอยู่ที่ผู้ผลิตจะผลิตวัคซีนออกมาต่อต้านไวรัสกลายพันธุ์ ที่จะเป็นเกราะป้องกันใหม่สำหรับคนไทย
แม้ในระหว่างรอวัคซีนรุ่นใหม่ ประเทศไทยยังใช้สูตรฉีดวัคซีนสลับชนิด เพื่อให้ภูมิคุ้กันสูงพอที่จะป้องกันไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา
ซึ่ง ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การฉีดวัคซีนสลับชนิดนี้ ไม่ได้มีรายงานภาวะแทรกซ้อนที่แตกต่างจากการฉีดวัคซีนชนิดเดียวกัน ส่วนการฉีดวัคซีนกระตุ้นในบุคลากรทางการแพทย์ที่รับซิโนแวค 2 เข็ม อยู่บนหลักการเดียวกัน คือ กระตุ้นด้วยวัคซีนต่างชนิดคือแอสตร้าเซนเนก้าที่ช่วยกระตุ้น T cells ทั้งนี้ สำหรับวัคซีนรุ่น 2 รองรับการกลายพันธุ์ ประเทศไทยกำลังเจรจา ซึ่งอย่างเร็วอาจจะมาปีหน้า จึงเป็นอีกเหตุผลในการปรับสูตรการฉีดวัคซีนเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้คนไทยปลอดภัยระหว่างรอวัคซีนรุ่น 2
ดูเหมือนว่าทั้งโลก ยังต้องต่อสู้ในสงครามไวรัสอีกยาวนาน แม้จะมีวัคซีนรุ่น 2 แล้ว แต่สิ่งจำเป็นอย่างหน้ากากอนามัยก็คงยังต้องเป็นอาวุธคู่กาย แม้ทุกคนจะเฝ้ารอวันที่ไทยจะได้ถอดหน้ากากในที่สาธารณสะเสียที