ในช่วงชุลมุนการเอามือกอดอกแล้ววิพากษ์วิจารณ์นั้น ทำได้ง่ายและเสียงดังกว่าคนทำงาน หากแต่การไม่ดูดาย ในการขวนขวายและเพียรพยายามที่จะแก้ไขปัญหาอย่างเต็มกำลังความสามารถและตามศักยภาพของตนเองนั้น แม้จะไม่ง่ายแต่เป็นประโยชน์มากกว่า น่าสนใจการแสดงบทบาทของประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ อย่าง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ยกหูโทรศัพท์ไปหานายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสนทนาเรื่องของช่องทางการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชน โดยนายชวนแจ้งข่าวที่รับทราบมาจากเพื่อนที่อยู่สหรัฐอเมริกา ส่งข้อมูลมาบอกว่าสหรัฐอเมริกายังมีวัคซีนเหลืออยู่ 50 ล้านโดส และแนะนำให้เจรจาแบ่งปันวัคซีนมาให้กับประชาชน ก็ได้บอกไปว่า ถ้ามันมีช่องทางไหนที่สามารถช่วยกัน เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นก็ควรทำ เพราะเป็นเรื่องความปลอดภัยของประชาชน ความเป็นความตายของชาวบ้าน หนึ่งชีวิตมีความหมาย จะมีทางไหนที่เราป้องกันเขาได้ ก็ต้องพยายามทำ เช่นเดียว กับส.ส.ทุกจังหวัดที่กำลังช่วยกันเต็มที่ เพื่อลดภาระแพทย์ พยาบาล ซึ่งยังยืนยันว่า เราต้องรณรงค์ เคี่ยวเข็ญ ขอความร่วมมือในการสวมหน้ากากอนามัย เพราะตรงนี้ราคาถูกที่สุด” ซึ่งเรื่องนี้นายดอน ได้ตอบว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศ กำลังดำเนินการอยู่ แต่ว่ายังไม่เกิดผลจริงจัง อีกด้านหนึ่งนายชวน ก็ยังได้ติดต่อผ่านระบบประชุมทางไกล ไปยังนายลี่ จ้านซู ประธานสภาประชาชนแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 ผู้ทรงอำนาจทางการเมืองสูงสุดของจีน เพื่อขอให้ฝ่ายจีน พิจารณาผลักดัน 3 เรื่อง คือ 1.ให้นักศึกษาไทยได้กลับไปศึกษาต่อที่จีน 2.อนุญาตให้สายการบินไทย กลับไปทำการบินเชิงพาณิชย์ในจีนได้อีกครั้ง เพราะไทยได้อนุญาตให้สายการบินพาณิชย์จีน บินเข้าไทยได้แล้ว 3. ขอขอบคุณที่มีน้ำใจกับคนไทย เรื่องการมอบวัคซีนให้ แต่ตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรง หากได้รับวัคซีนตัวใหม่ (ซิโนฟาร์ม) ก็จะเป็นประโยชน์ และเป็นที่ซาบซึ้งใจต่อคนไทยอย่างสูง ในสถานการณ์วิกฤติ นายชวนผู้มากบารมีก็ไม่ดูดายต่อสถานการณ์ ใช้สายสัมพันธ์ที่มีอยู่ การไม่ดูดายต่อสถานการณ์ แสดงถึงภาวะผู้นำแสดงถึงภาวะผู้นำ เป็นแบบอย่างให้บรรดานักการเมืองทั้งหลายได้สำเหนียกกัน และละอายแก่ใจบ้าง