แสงไทย เค้าภูไทย เข้าสู่เดือนตั้งต้นเคานต์ดาวน์ 120 วันเปิดประเทศของนายกฯ แล้ว แต่ยังไม่มีสัญญาณใดที่บ่งชี้ว่า จะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยอุปสรรคสำคัญที่สุดคือภูมิคุ้มกันหมู่ที่ โอกาสจะเกิดขึ้นแทบไม่มี เหตุไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ตามเกณฑ์ เกณฑ์ที่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่คือ การฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนครบ 2 เข็ม ได้ถึง 60-70% ของจำนวนประชากรทั้งหมด หมายถึง 40-46 ล้านคน ขณะนี้ หลังการฉีดวัคซีนเข็มแรก 28 กุมภาพันธ์ มาจนถึงวันนี้ 158 วัน มีผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 7,110,854 ราย และครบ 2 เข็ม จำนวน 2,816,844 ราย ยังขาดอีก 37 ล้านคนอันเป็นเกณฑ์ต่ำสุดอันจะก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ได้ ถ้าศักยภาพในการฉีดวัคซีนเฉลี่ยแค่วันละ 18,000 คนเช่นนี้ อีก 120 วันเป้าหมายเปิดประเทศ จะมีผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 แค่ 2.160 ล้านคนเท่านั้น หรือเอาอัตราฉีดต่อเดือน 7.7 ล้านโดส 120 วันหรือ 4 เดือน ก็จะมีผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรกแค่ 30.8 ล้านคน ยังห่างไกลเป้าหมายภูมิคุ้มกันหมู่อีกมาก หรือต่อให้ยืดเวลาดออกไปอีกถึงสิ้นปี 150 วัน หรือข้ามปีไปอีกเดือนเป็น 184 วัน ก็น่าจะฉีดครบ 2 เข็มได้ไม่ถึงครึ่งของจำนวนผู้รับวัคซีนอันจะก่อเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ แต่ก็นั่นแหละ ในระยะเวลา 2 เดือนข้างหน้านี้ การจัดหาวัคซีน การบริหารจัดการ ระดมฉีด น่าจะเข้าที่เข้าทาง ก็อาจจะทำให้สามารถฉีดวัคซีนได้จำนวนใกล้เคียงกับเป้าหมายได้ กระนั้น ก็ยังไม่ให้ความเชื่อมั่นถึงขั้นเปิดประเทศได้เต็มรูปแบบ อาจจะใช้ภูเก็ตโมเดล คือเปิดเป็นโซนๆไป ซึ่งก็ยังเสี่ยงล้มเหลวแบบภูเก็ตเช่นกัน สำหรับกรุงเทพฯที่มีประชากรตามทะเบียนบ้าน 5.59 ล้านคน แต่มีประชากรแฝง จากแรงงานต่างจังหวัดและแรงงานต่างชาติกว่า 3 ล้านคน การจะฉีดวัคซีนให้ครบ 2 เข็มให้ได้เกณฑ์ 60% ขึ้นไปภายใน 120 วันก็คงจะเป็นไปได้ยากเช่นกัน การเปิดประเทศช้า เป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล ทั้งนี้เพราะรายได้หลักของไทยมาจากต่างประเทศ อันได้แก่การท่องเที่ยวและการส่งออก การส่งออกไม่ค่อยมีปัญหา เพราะคู่ค้าของไทยยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก แม้จะถูกโควิด-19 เล่นงานไม่ต่างไปจากเรา จะมีปัญหาอยู่ก็แต่ในบ้านเราเอง เหตุจากคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อไวรัสส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มโรงงาน ทำให้ต้องปิดโรงงานบางส่วน ส่งผลใหการผลิตหยุดชะงัก นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมยังขาดแคลนแรงงานถึง 500,000 คนทั้งนี้เพราะการระบาดของโควิดรุนแรง ทำให้มีการป้องกันแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาอย่างผิดกฎหมายเข้มงวดสูงสุด ด้านการท่องเที่ยว การที่จำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันของไทยเพิ่มขึ้นจนไต่ระดับประเทศติดเชื้อรายวันของโลกสูงขึ้นทุกวัน ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศต้องห้ามในการไปเยือนของหลายประเทศ โดยเฉพาะจีนที่เคยเป็นชาติที่มีนักท่องเที่ยวมาไทยมากที่สุดที่มีผลสำรวจความเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายการเดินทางมาเยือนเมื่อเร็วๆนี้ระบุว่า จะมาเที่ยวกันลดลง แม้ว่าารระบาดของโควิด-19 จะลดวามรุนแรงลงจนเข้าข่ายปลอดภัยแล้วก็ตาม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสร้างงานให้คนไทยช่วงปีก่อนเกิดการระบาดของไวรัสถึง 8 ล้านคน ตั้งแต่ร้านอาหารริมทาง "สตรีตฟู้ด" อันเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจีนและฝรั่ง ไปจนถึงโรงแรมและแม้แต่สายการบิน ต้องปิดตัวเลิกกิจการกันเป็นแถว แม้ขณะนี้ความรุนแรงของการระบาดระลอก 4 จะยังทรงตัว แต่ก็เชื่อว่า ยังไม่เป็นขาลงได้ง่ายๆภายในเดือนสองเดือนนี้ HITAP และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้วิเคราะห์โดยใช้แบบจำลองเพื่อคาดการณ์สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 สรุปว่า ประเทศไทยยังไม่มีโอกาสในการเกิดภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ในอีก 120 วันข้างหน้า ถ้ายังไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องวัคซีนได้ ยังผลให้อัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตไม่ลดลง แม้จะไม่เพิ่มมากจนเกิดระดับสูงสุดแทบทุกวันอย่างในขณะนี้ก็ตาม ตามแบบจำลองนั้น คาดว่าในวันที่ 1 พ.ย. 64 ไทยจะมีผู้ป่วยใหม่ในวันนั้นอย่างน้อย 5,586 คน มีผู้เสียชีวิตในวันนั้น 266 คน มีผู้ป่วยโควิด-19 ยืนยันสะสมกว่า 6 แสนราย ถ้าตัวเลขจำนวนผู้ป่วยรายใหม่และผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ในระดับนี้ ต่อให้ใช้ภูเก็ตโมเดลเปิดประเทศบางส่วน ก็จะไม่ได้รับผลสำเร็จตามเป้าหมาย หากอ่านข่าวต่างประเทศทุกวัน จะพบว่า ข่าวการติดเชื้อรายใหม่และจำนวนผู้เสียชีวิตของไทยเป็นส่วนหนึ่งของข่าวการระบาดของโควิด-19 ทุกวันด้วย คงไม่มีนักท่องชาติไหนใจถึงเดินทางเข้ามาเสี่ยงตาย แม้ว่าพวกเขาจะมีวัคซีนพาสปอร์ตก็ตาม เพราะวันนี้ การฉีดวัคซีนครบโดส ไม่ได้หมายความว่า จะป้องกันไวรัสมรณะนี้ได้ 100% วันนี้มีเดลตาและแลมบ์ดาเป็นไวรัสกกลายพันธุ์ตัวใหม่ ภายใน 120 วันข้างหน้าไม่มีใครรับประกันได้ว่า จะมีไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่เกิดขึ้นอีกหรือไม่ เพราะ มันจะกลายพันธุ์ทุกๆ 3 สัปดาห์ ถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน อาจจะมีพันธุ์ใหม่อีกมาให้คนไทยติดเชื้อกันอีก 2-3 สายพันธุ์ก็ได้ !