ในวัย 72 ของ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ในปีนี้ แม้จะดูเหมือนว่าเขาเองได้กลับมาวนเวียน ในสังเวียนการเมืองไทย ชนิดที่ไม่ยอม "ทิ้งพื้นที่" ให้กับ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปเพียงลำพังแล้ว ยังน่าสนใจว่า การออกมาส่งสัญญาณข้ามประเทศจากดูไบ ร่ำๆว่า "จะกลับเมืองไทย" นั้นเป็นแค่ ลมที่พัดผ่านไปเลยไปเท่านั้น เพราะเวทีการเมืองไทย วันนี้ทักษิณ ย่อมไม่ได้สู้กับพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ "หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ" หรือ คสช.ที่เคยยึดอำนาจ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของเขาแล้วเท่านั้น เพราะเวลาที่ผ่านไปกว่า 7 ปีได้สร้าง "นักการเมืองหน้าใหม่" ที่กลายมาเป็น "ทางเลือก" ให้กับ "คนรุ่นใหม่" ไปแล้วอย่างชัดเจน เมื่อ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ประธานคณะก้าวหน้า ที่มีความเชื่อมโยง เป็นเนื้อเดียวกันกับ "พรรคก้าวไกล" โดยมี "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" นั่งเป็นหัวหน้าพรรค ได้ผนึกกำลังกับ แกนนำเยาวชนนอกสภาผู้แทนราษฎร เคลื่อนไหวทางการเมืองในรูปแบบมวลชนที่ผิดแผกไปจาก ม็อบเสื้อสีสารพัดกลุ่มในอดีตที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง วันนี้ ในวัย 72 ปีของทักษิณ แม้จะใช้ชื่อ "โทนี วู๊ดซัม" เป็นแขกรับเชิญพิเศษ รับบทกูรูรู้ทุกเรื่อง มาให้ความเห็นโดยเฉพาะเรื่องวัคซีน ไปจนถึงการตอบคำถามว่า เขาจะกลับไทยเมื่อไหร่แล้ว ต้องยอมรับว่าทักษิณ ยังใช้คลับเฮาส์ เป็นเวทีวิพากษ์วิจารณ์ การทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล เสมือนเป็นการเปิดวิวาทะทุกวันอังคาร แต่ทั้งนี้ เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป ทักษิณ ที่อยู่ห่างไกลบ้านเกิด รับฟังข้อมูลจาก "คนใกล้ชิด" และติดตามข่าวสารบ้านเมือง ในฐานะผู้รอบรู้ แต่อาจไม่ใช่คนที่จะครองใจ "คนรุ่นใหม่" ที่พุ่งความสนใจไปที่ ธนาธร และเครือข่ายแนวร่วม ทั้งในและนอกสภาฯ ดังนั้นจึงหมายความว่า ทักษิณ จึงไม่ใช่มีเพียง พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็น "คู่แข่ง" ทางการเมืองเท่านั้น หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว "ลุงโทนี" กลับต้องเจอคู่ปรับที่เพิ่มขึ้นมาอย่าง "ธนาธร -พิธา" ที่เข้าไปอยู่ในใจของคนรุ่นใหม่ กลายเป็น กระแสที่พร้อมจะแปรเปลี่ยนเป็น "คะแนน" หากการเลือกตั้งมาถึง แม้ทักษิณ และธนาธร ต่างมี "ศัตรูร่วม" คนเดียวกันคือ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เมื่อวันนี้ทักษิณ เองยังมีภารกิจในการเรียกคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทย ด้วยการปลุกกระแส "ทักษิณฟีเวอร์" ให้กลับมาได้มากพอ ที่จะมั่นใจได้ว่าในการเลือกตั้งรอบหน้า พรรคเพื่อไทย จะกวาดที่นั่ง ส.ส. กลายเป็นพรรคอันดับหนึ่ง เข้ามาตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ตามที่เขาประกาศเอาไว้ในการสนทนาผ่านคลับเฮาส์มาก่อนหน้านี้ ทว่าในความเป็นจริงที่ทักษิณ ในวัย 72 ปี กำลังรับมือกับทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ ยังต้องช่วงชิงกระแส และขยายฐานเสียงไปพร้อมๆกัน กลับต้องมาเจอ กระแสคนรุ่นใหม่ที่นิยมแนวคิดของธนาธร และสนับสนุนม็อบราษฎร จึงกลายเป็น อุปสรรคที่เขาเองน่าจะประเมินได้ออก วันนี้ โอกาสที่จะได้กลับประเทศไทย ยังห่างไกล และไม่มีใครการันตีได้แน่นอนว่า ทักษิณ จะกลับทางไหน เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ได้แต่บอกว่า "เอาไว้ใกล้ๆแล้วจะบอก" ขณะเดียวกัน ปมปัญหาความวุ่นวาย ความไร้เอกภาพภายในพรรคเพื่อไทย ยังกลายเป็น "สนิมเนื้อใน" ที่กัดกินและดำเนินไปอย่างเงียบๆ หน้าฉากของพรรคเพื่อไทย มีแกนนำหน้าเดิมที่ออกแอคชั่น ทั้งในการตรวจสอบงบประมาณ 2565 ไปจนถึงการตั้งท่าเตรียมซักฟอก "นายกฯ" กับอีก 5รัฐมนตรี แต่ลึกๆแล้ว หลายคนรู้ดีว่าในพรรคยังมีส.ส.อีกจำนวนไม่น้อย ที่เตรียมตัวเก็บเสื้อผ้า "ย้ายพรรค" กันไม่น้อย เพราะประเมินแล้วว่ากระแสทักษิณ ไม่น่าจะปลุกขึ้น รวมทั้งโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาลพรรคเดียวนั้น เป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก !