ชัยวัฒน์ สุรวิชัย • มีคนออกมาวิจารณ์กลับ ต่อ พวกที่กล่าวหา “พี่ตูน” มาเยอะแล้ว แต่ที่เป็นบุคคลกรทางการแพทย์เช่น “นพ เกษม ตันติผลาชีวา” จิตแพทย์ เพื่อนรุ่นเดียวกับปู่จิ๊บ ย่อมมีน้ำหนักทำให้ได้เห็น ความต่างกันของ “ปุยนุ่นที่เบาหวิวของผู้มีอคติ” และ “ขุนเขาที่หนักแน่น” ของผู้มีวิจารณญาณ • คุณหมอเกษม พูด เป็นลำดับ ให้เห็นภาพต่างๆที่เกี่ยวโยงกันได้ชัดเจน ตามอ่านได้เลยครับ • ก. เท่าที่ผมติดตามปัญหาของระบบสาธารณสุขนั้นมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาด้านการเงินที่หลายโรงพยาบาลกำลังประสบภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง ปัญหาด้านบุคลากรทางการแพทย์ เช่น พยาบาลซึ่งเป็นวิชาชีพที่ขาดแคลน ทำงานหนัก และเสี่ยง แต่ไม่มีตำแหน่งบรรจุจนขาดความมั่นคงในวิชาชีพ เรื่องโครงสร้างกับบริหารโรงพยาบาลที่ลักลั่นกัน ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสปสช.ซึ่งแต่ละฝ่ายมีมุมมองที่ขัดแย้งกัน • ข. แน่นอนว่าระบบสาธารณสุขของประเทศนั้นต้องการการปฏิรูปอย่างรุนแรงว่าเราจะเดินไปในทิศทางไหน ทำอย่างไรให้ระบบสวัสดิการสังคมอยู่ได้เพื่อให้คนยากจนเข้าถึงระบบสาธารณสุข ขณะเดียวกันโรงพยาบาล และบุคลาการทางการแพทย์ก็อยู่ได้ด้วย มาถกกันจริงๆจังเสียทีว่าระบบสปสช.มันดีจริงไหม หรือเป็นเรื่องของมาเฟียสาธารณสุขอย่างที่ร่ำลือกัน • ค. มาเข้าประเด็น : แต่ผมประหลาดใจมากเมื่อ “ตูน” อาทิวราห์ คงมาลัย ออกมาวิ่งเพื่อหาเงินให้โรงพยาบาลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำเพื่อโรงพยาบาลบางสะพาน มาจนถึงวิ่งจากเบตงไปแม่สายจากใต้สุดสู่เหนือสุด เพื่อหาเงินให้โรงพยาบาล11แห่ง ทั่วประเทศ ก็มีคนมาแสดงความเห็นไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ตูนทำ จนกระทั่งผมอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ถ้าใครคนใดคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อส่วนรวม มันมีข้อห้ามที่ไม่ควรทำด้วยเหรอ ในเมื่อสิ่งที่ทำนั้นมันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและไม่ผลส่งผลกระทบต่อใครเลย นอกจากเรี่ยวแรงและเวลาที่เจ้าตัวและทีมงานต้องเสียสละเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ปรารถนาที่จะให้ต่อสังคม จริงๆ มันควรเป็นเรื่องที่น่าส่งเสริมไม่ใช่หรือถ้าใครลุกขึ้นมาทำแบบเดียวกันตูนเยอะๆ แน่นอนว่ามันไม่ได้แก้ปัญหาทั้งระบบได้หรอก แต่มันก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือ • ง. แล้วแปลกมากคือ คนที่มีปัญหามีคำถามกับเรื่องของตูน เป็นพวกที่สถาปนาตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย เป็นเสรีชน เป็นลิเบอรัล อะไรทำนองนั้น ไม่ว่าจะเป็น “ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ใบตองแห้ง-อธึกกิต แสวงสุข ชวิน ชัชวาลพงษ์พันธ์ หรือคนรุ่นใหม่อย่าง สุเจน กรรพฤทธิ์ ฯลฯ” และอีกหลายคนที่แซะตูนอยู่ในโลกโซเชียล ครับเป็นเสรีภาพของคนเหล่านี้ที่คิดและเชื่อเช่นนั้นแต่ขณะเดียวกันมันก็ก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพของคนอื่นด้วย ผมไม่รู้ว่าตูนนั้นมีทัศนะทางการเมืองอย่างไร แน่นอนล่ะทุกคนต้องมีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาแสดงออก แต่จับน้ำเสียงของพวกที่วิจารณ์ตูนได้ว่า “ไม่พอใจที่ตูนออกมาทำกิจกรรมในช่วงรัฐบาลนี้อยู่ด้วย” มันมีกลิ่นอายของรสนิยมทางการเมืองเจือปนอยู่นั่นแหละ 1. ชวิน : “แม้ตูนจะมีเจตนาที่ดี แต่วิธีคิดปัญญาอ่อนมาก ภารกิจสาธารณะเช่นนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ทั้งในแง่การจัดสรรงบประมาณ และการวางแผนสาธารณสุข ไม่ใช่หน้าที่ประชาชนที่ต้องมาจัดสรรกันเอง ประเทศไทยไม่ใช่หมู่บ้านที่มีประชากรสองสามร้อยคน ที่คนในหมู่บ้านจัดการภาระของตนเองได้ แต่เรามีประชากรเหยียบ 70 ล้านคน ประชาชนมีหน้าที่เสียภาษีอยู่แล้ว ทำไมต้องมาบริจาคอีกคนละ 10 บาท งั้นจะมีรัฐบาลไปทำโคตรเหง้าศักราชอะไร หรือตูนพูดแบบนี้เพราะต้องการวิจารณ์รัฐบาลโดยทางอ้อม” 1.1 อย่างไรก็ตามผมคิดว่ามันเป็นความคิดที่ห่วยแตก แต่ถ้าตูนซีเรียสเรื่องนี้มันจะกลายเป็นว่าตูนกำลังปวารณาตัวเป็นผู้มีบารมีคนล่าสุดของกะลาแลนด์ ตลกไหมครับคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารแล้วร้องหาประชาธิปไตย แต่หมิ่นหยามการลุกขึ้นลงมือทำเพื่อประเทศของพลเมืองคนหนึ่ง พูดง่ายๆ ว่า เราควรจะเป็นพลเมืองที่งอมืองอเท้าก้มหน้าทำมาหากินและจ่ายภาษีให้รัฐบาลมาดูแลเราอย่างเดียว ส่วนเรื่องผู้มีบารมีเราก็รู้จากชีวทัศน์ของชวินว่าต้องการแขวะใคร 1.2 คำถามว่า เมื่อเรามีรัฐบาลทื่มีหน้าที่บริหารและกำหนดทิศทางของประเทศแล้ว เราในฐานะประชาชนไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวในภารกิจสาธารณะอีกเลยเหรอ ถ้าเราเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยจ่ายเงินค่าเรียนไปแล้วเราไม่ควรทำกิจกรรมอะไรให้ประโยชน์กลับคืนมาสู่มหาวิทยาลัยเลยเหรอ เพียงแต่สเกลที่ตูนทำนั้นเป็นสเกลที่ใหญ่เหนือความคาดหมายที่คนๆใดคนหนึ่งจะลุกมาทำซึ่งมันควรเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากกว่าที่จะหมิ่นแคลนกัน โง่บ้าง ปัญญาอ่อนบ้างเพื่อจะกลายเป็นเพียงคนที่มีหน้าที่เสียภาษีอย่างเดียวที่ดูดีถ้าหน้าที่วางแผนสาธารณสุขเป็นหน้าที่ของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แปลว่า เราจะยอมรับโดยไม่มีปากเสียงเลยหรือถ้าเราไม่เห็นด้วยกับแผนสาธารณสุขที่รัฐบาลทำ เพราะเราบอกว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลเราไม่เกี่ยว ผมว่ามันก็ไม่ใช่นะ 1.3 ที่สำคัญตูนเขาไม่ได้มีความคิดเลยว่า จะเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณสุขของประเทศนี้ เขาเพียงแต่คิดว่า โรงพยาบาลหลายแห่งยังขาดแคลนเครื่องมือแพทย์แล้วเขาอยากช่วยเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเสรีชนคนหนึ่งที่จะลงมือลงแรงทำแม้จะไม่ใช่หน้าที่ในความรับผิดชอบก็ตาม แต่ทำในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เขาทำในสิ่งที่เขาคิดว่าเขาพอจะทำได้ แล้วทัศนะที่ว่าประชาชนเป็นพลังสำคัญในระบอบประชาธิปไตยหายไปไหน 1.4 แล้วทำไมจึงกลายเป็นประชาชนมีหน้าที่เพียงเสียภาษีแล้วปล่อยให้รัฐบาลจัดการนโยบายสาธารณะฝ่ายเดียวไปได้ มันก็อดนึกไม่ได้ที่คนบางคนคิดว่า ประชาธิปไตยคือการแสดงพลังแค่การไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แล้วหลังจากนั้นรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งจะใช้อำนาจอย่างใดก็ได้ แต่พอประชาชนที่เห็นว่ารัฐบาลใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลออกมาขับไล่ก็หาว่าพวกเขาไม่ใช่ฝ่ายประชาธิปไตย อ้อ ประชาธิปไตยในความหมายของพวกเขาเป็นแบบนี้นี่เอง 2. สุเจน : บอกว่า ใครอยากจะจ่ายให้ตูนก็จ่ายไปไม่ขัดศรัทธา แต่ผมไม่จ่าย พี่ตูนจะไม่ได้จากผมสักบาทเดียว ถ้าตูนอยู่ถ้ำไม่รับข่าวสารว่าใครเอาภาษีไปช้อปปิ้งเฮลิคอปเตอร์ เรือดำน้ำ ฯลฯ แต่บอกไม่มีเงินมาบำรุงคุณภาพชีวิตคนในชาติ ผมจะไม่ว่าเลยแต่วิ่งมากี่รอบแล้ว ตกท่อมากี่รอบ ข่าวชอปปิงอาวุธก็ออกมากี่รอบแล้ว ยังคิดไม่เป็นว่าต้องขอเงินใคร การวิ่งของตูนคือการกลบปัญหาให้รัฐบาลทหารตอบสนองพวกสลิ่มในทุ่งลาเวนเดอร์ไปวัน ๆ แก้ปัญหาระยะสั้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาระยะยาวเลย 2.1 สุเจน : ไม่ได้ผิดที่คิดเช่นนั้น เพราะใครจะคิดอย่างไรก็เป็นสิทธิ แต่ถามว่างบประมาณในสัดส่วนสาธารณสุขกับกองทัพในยุครัฐบาลที่สุเจนชื่นชอบกับรัฐบาลนี้ต่างกันไหม มันไม่ได้ต่างกันเลย มันชวนให้ตั้งคำถามเหมือนกันว่า ถ้าตูนลุกขึ้นมาวิ่งในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์สุเจนจะมีความคิดอย่างไร สุเจนอาจจะบอกว่าก็ไม่เห็นด้วยเหมือนเดิม แต่ถามว่าประโยคที่ว่า “การวิ่งของตูนคือการกลบปัญหาให้รัฐบาลทหารตอบสนองพวกสลิ่มในทุ่งลาเวนเดอร์ไปวัน ๆ แก้ปัญหาระยะสั้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาระยะยาวเลย” จะถูกเขียนออกมาจากใจของเขาอย่างไร 2. ส่วน “ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ “อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ฮุนเซนให้การยกย่อง ได้แชร์ข้อความของสุเจนแล้วบอกว่า “โลกสวย ๆ what a beautiful world ! โลกสวย ๆ what a beautiful world ! นั้นไม่ต้องพูดถึงแกหรอกครับ เพราะแก่แล้ว • จ. สิ่งที่ตูนทำนั้นมีค่ามากกว่าน้ำเสียงที่เสียดเย้ยมากนัก บอกตรงๆว่า ผมน้ำตารื้นเมื่อได้ดูคลิปที่ตูนวิ่งในสามจังหวัดใต้แล้วมีพี่น้องทั้งไทยพุทธและมุสลิมมาต้อนรับ มันสะท้อนว่า ประเทศไทยนั้นไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เราควรปล่อยให้รัฐบาลฝ่ายเดียวที่เข้ามากำหนดนโยบายและทิศทางของประเทศ แต่คนตัวเล็กอย่างตูนก็สามารถลุกขึ้นมาทำได้ ไม่ได้หมายความว่ามันจะแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างได้อย่างที่บางคนพยายามบอกว่าตูนวิ่งไปให้ตายก็ไม่มีประโยชน์ ภาพที่สะท้อนออกมาจากคลิปและภาพถ่ายจำนวนมากนั้นมันสะท้อนถึง “ความหวัง ความรัก ความสามัคคี “ ที่สามารถเกิดบนดินแดนปลายด้ามขวานได้ และอย่างน้อยมันปลุกจิตสำนึกว่า เราสามารถทำตัวเองให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมที่อยู่อาศัยได้ แม้จะไม่ใช่ภาระหน้าที่โดยตรงก็ตาม และผมเชื่อว่าเราจะสามารถเห็นภาพอันงดงามนี้เกิดขึ้นเมื่อตูนวิ่งไปตามเส้นทางที่กำหนดเอาไว้ ส่วนใครจะมาหาประโยชน์จากตูน เอกชนจะมาทำCSRเอาเงินมาช่วยบริจาคเพื่อไปลดภาษีก็เป็นเรื่องของเขา ผลได้ผลเสียมันเป็นเรื่องของเขา ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจอันยิ่งใหญ่ของตูนด้อยค่าลงไป • ฉ. ผมไม่เชื่ออย่างที่ใบตองแห้ง อธึกกิต แสวงสุข แห่งวอยซ์ทีวีบอกว่า เดี๋ยวสื่อก็ไม่สนใจต้องสร้างกระแสดรามาและ Gimmickไปเรื่อยๆ หรอกครับ เพราะภาพที่เห็นเมื่อตูนวิ่งไปตามท้องที่ต่างๆ นั้นมันมีคุณค่าของตัวมันเองอยู่แล้ว และทุกคนก็รอคอยให้ตูนวิ่งผ่านมายังท้องที่ของตัวเองโดยไม่ต้องสร้างภาพอย่างที่ใบตองแห้งบอกเลย คอยดูว่าวิ่งผ่านกทม.เมื่อไหร่เราจะได้เห็นภาพที่ยิ่งใหญ่มาก • ช. ตูนน่าจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของประชาชนคนหนึ่งที่ไม่งอมืองอเท้ารอความหวังจากรัฐบาล ในทัศนะของประชาชนเป็นใหญ่ ลงมือทำด้วยตัวเองตามอุดมคติที่มุ่งหวัง ซ. แปลกใจมากกลายเป็นเรื่องขัดใจของพวกที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตยได้อย่างไร ปรากฎการณ์ที่ตูนทำนั้นเป็นเรื่องของมนุษย์คนหนึ่งที่มีหัวใจใหญ่กว่าโลก มีแต่คนออกมาเย้ยหยันเท่านั้นที่ต้องละอายใจตัวเอง • ฌ. มีผู้ให้ความเห็นว่า ความเห็นของนายแพทย์เกษมน่ารับฟังครับเพราะตูนได้พูดไว้ว่าจะวิ่งเพื่อระดมเงินช่วยโรงพยาบาลที่มีปัญหาขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีควรแก่การยกย่องสรรเสริญครับ • ปู่จิ๊บ ต้องขอบคุณ “หมอเกษม” ที่ให้แง่มุมที่ดี ทำให้เข้าใจเรื่อง “กรณีของพี่ตูน” ได้อย่างถูกต้อง