แรงต้าน และเสียงขับไล่ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ "แม่ทัพสู้ศึกโควิด" ทวีความรุนแรงมากขึ้น ไม่มีแผ่ว โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ข้าศึกเข้ามารุมล้อมพร้อมๆกัน ด้วยอาศัยสถานการณ์ที่ "กัปตันประยุทธ์" กำลังเพลี่ยงพล้ำ จากวิกฤตโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย
การเคลื่อนไหวจาก "ม็อบเยาวชน" ในนามกลุ่มต่างๆ ผ่านอีเว้นท์ที่สอดรับไปกับห้วงเวลาและสถานการณ์ โดยไม่ยี่หร่ะ ต่อคำสั่งของ ของศบค. ที่ห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุมที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ 6) ลงนามโดย พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง
"ม็อบ 18 กรกฎา" จึงปรากฎขึ้นอย่างที่เห็น กลุ่มผู้ชุมนุมระดมพลเคลื่อนไหว ขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ ตามมาด้วยการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนฝ่ายเจ้าหน้าที่ต้องใช้น้ำฉีดสกัด และกระสุนยางเข้ายับยั้งการชุมนุม ตามมาด้วยเสียง Call out จากเซเลบในสังคมที่แสดงความเห็น "รับไม่ได้" กับความรุนแรงที่เกิดขึ้น
จังหวะการออกมาเคลื่อนไหวของม็อบราษฎร เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โต้กลับ ด้วยระดับดีกรีที่เข้มข้นมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะต้องไม่ลืมว่า ศบค.ได้ประกาศคำสั่งห้ามการชุมนุม มั่วสุมฯ และมีผลบังคับใช้ไปแล้ว ลงนามโดย ผบ.สส.
ทั้งนี้การรับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ต่อต้านรัฐบาลนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพียงแต่ศึกใหญ่ที่รอยู่เบื้องหน้าคือการเร่งคลี่คลายวิกฤตโควิดทั้งปัญหาการจัดสรรวัคซีน การจัดระบบเพื่อรองรับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ ลดความสูญเสียให้มากที่สุด ควบคู่ไปกับการออกมาตรการเยียวยา ก่อนที่ศบค.จะตัดสินใจใช้ "อู่ฮั่นโมเดล" ล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า "เจ็บแล้วต้องจบ" !
อย่างไรก็ดีน่าสนใจว่า ตลอดห้วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงขับไล่และโจมตีพล.อ.ประยุทธ์ อย่างกว้างขวาง กลับมีกระแสข่าวที่ผุดขึ้นมาพักใหญ่ ท่วงทำนองว่า การที่บิ๊กตู่ ประกาศสู้ไม่ถอยนั้นอาจจะหมายถึง การรบกับ สงครามโควิดให้ชนะเป็นหลักใหญ่ แต่สำหรับ "สนามการเมือง" ครั้งหน้า ยังเป็นเรื่องที่ต้องคาดเดา รอเงี่ยหูฟังกันต่อไปว่า
ที่สุดแล้ว "พรรคพลังประชารัฐ" ที่บัดนี้มีแม่ทัพใหญ่คือ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรค ได้ "ขุนพลคู่ใจ" คือ "ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า" รมช.เกษตรและสหกรณ์ ขึ้นมานั่งเป็น "เลขาธิการพรรค" เพื่อเอาชนะการเลือกตั้ง รอบหน้านั้น จะยังเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น "แคนดิเดตนายกฯ" เพื่อให้ได้รับการโหวต กลับมานั่ง "นายกฯสมัยที่ 3" อีกหรือไม่ ?
บ้างก็ว่าพล.อ.ประยุทธ์ นั้นเหนื่อยล้าเต็มทีกับการยืนต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม ยาวนานกว่า 7ปี นับตั้งแต่การยึดอำนาจในปี 2557 เป็นต้นมา รวมถึงการบริหารงานในฐานะฝ่ายบริหาร ก็ถูกโจมตี ไม่เว้นแต่ละวัน จนทำให้อดีตผู้บัญชาทหารบก เริ่มเหนื่อยหน่ายกับความขัดแย้งทางการเมือง ที่ไม่จบไม่สิ้นเสียที
แน่นอนว่ากระแสข่าวเรื่องพล.อ.ประยุทธ์ อาจจะไม่ต่อวีซ่า "นายกฯสมัยที่ 3" จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่ต้องรอลุ้นกันช๊อตต่อช๊อต แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วย "ข่าวลือ" ที่ว่านี้ด้วยหรือไม่ ที่สร้างขวัญ กำลังใจให้กับฝ่ายต่อต้านทั้งม็อบราษฎร ไปจนถึง "พี่โทนี" ให้ฮึกเหิม ประกาศจะกลับเมืองไทย ทวงคืนอำนาจ ซ้ำไปซ้ำมา ถึงสองรอบ !