เมื่ออยู่ในฐานะ "พรรคการเมืองใหญ่" อันดับหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร
เมื่ออยู่ในสถานะ "พรรคแกนนำฝ่ายค้าน" ย่อมเป็นเสมือน "จ่าฝูง"
หาก "พรรคเพื่อไทย" ไม่มีแอคชั่น ไม่ออกอาวุธอย่างใดอย่างหนึ่ง โอกาสที่จะ "เครดิต" จะถูกลดลงไป ย่อมมีความเป็นไปได้สูง อย่างไม่ต้องสงสัย !
ยิ่งเมื่อวันนี้บริบทการต่อสู้ทางการเมืองได้แปรเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็นมา จนเห็นได้ชัด การปลุกเร้าผู้คนในสังคมให้ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่ฝ่ายรัฐบาล ไปจนถึงการปลุกกระแสความเกลียดชัง ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง ย่อมทำได้เพียงพริบตา แค่ใช้โลกโซเชี่ยล เป็นช่องทางสร้างอาวุธขึ้นมาทำลายอีกฝ่าย อย่างได้ผล ก็เกิดขึ้นมาแล้ว
การออกมาโหมโรง จากพรรคเพื่อไทย ประกาศเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ของ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยที่ไม่รอ "หารือ" กับ "พรรคร่วมฝ่ายค้าน" ล่าสุด คล้ายจงใจแสดงให้เห็นว่า สังเวียนการเมืองในสภาฯ จากนี้ไป จะเป็นการห้ำหั่นกันระหว่าง พรรคพลังประชารัฐกับเพื่อไทย เท่านั้น
การออกแอคชั่นของพรรคเพื่อไทย ด้วยการประกาศยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล ซึ่งแน่นอนว่าเป้าจริง จะอยู่ที่ตัวบิ๊กตู่ ในฐานะหัวหน้าครม.เป็นหลัก เพราะหากพรรคเพื่อไทย สามารถ "คว่ำ" หรือขยายแผล พล.อ.ประยุทธ์ ได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่ความเชื่อมั่น และคะแนนนิยมจะเทกลับไปที่พรรคเพื่อไทย มากเท่านั้น
อย่าลืมว่า แท้จริงแล้ว ภายในพรรคเพื่อไทยเอง ก็ตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่าระส่ำระสายไม่น้อย แม้จะมีแกนนำระดับ "บิ๊ก" รับคำสั่งจาก "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ โดยตรงก็ตาม แต่ขณะเดียวกันยังมี ส.ส.จำนวนไม่น้อยภายในพรรค ที่แตะมือเอาไว้กับพรรคพวก ต่างพรรค ซึ่งรวมไปถึง พรรคฟากรัฐบาล โดยวันนี้ เมื่อ สัญญาณการเลือกตั้งยังไม่ชัด การตัดสินใจ "สละเรือ" ย้ายออกจากพรรคเพื่อไทย จึงยังไม่มีขึ้น !
ขณะที่เพื่อไทย กำลังรับมือกับปัญหาภายในพรรค ว่าที่สุดแล้วใครจะอยู่หรือใครจะไปเมื่อการเลือกตั้งมาถึง ยังน่าสนใจว่านับตั้งแต่มีพรรคอนาคตใหม่ แจ้งเกิดในสนามเลือกตั้ง แม้จะถูกยุบพรรค จนหลงเหลือทายาท คือ "พรรคก้าวไกล" แต่กลับมาบดบังรัศมีของพรรคเพื่อไทย ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ปัญหาของพรรคเพื่อไทยวันนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การรับมือหรือสู้กับ พรรคพลังประชารัฐ ตลอดจนพรรคร่วมรัฐบาลที่หวังเข้ามาชิงเก้าอี้ ส.ส.ในสนามเลือกตั้งเท่านั้นหากแต่ การชูภาพอดีตนายกฯทักษิณ ที่เคยมีมนต์ขลัง ก็เริ่มเสื่อมถอย มิหนำซ้ำ ยังถูกเปรียบเทียบกับ ภาพลักษณ์ของ "คนรุ่นใหม่" ทั้งจาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า จนมาถึง "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไปโดยปริยาย
ด้วยเหตุนี้ แม้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สามารถทำได้จริง โดยเฉพาะการแก้ไขให้กลับไปใช้รูปแบบ "บัตรสองใบ" ตามที่อดีตนายกฯทักษิณ ต้องการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า "โอกาส" จะตกเป็นของพรรคเพื่อไทย ที่เคยขายได้ทั้ง "ผู้นำพรรค" และ "ส.ส.เขต" ในพื้นที่อีกต่อไป
หมายความว่า แท้จริงแล้ว พรรคเพื่อไทยกำลังเจอกับศึกรอบด้าน ไม่ต่างไปจากพล.อ.ประยุทธ์ ในเวลานี้ และยังเป็นศึกที่พรรคเพื่อไทย ยังไร้กระสุน ยากจะปลุกกระแส อีกด้วยต่างหาก !