ทองแถม นาถจำนง เหตุที่ยกเอาเรื่องนี้มาเล่า ไม่มีอะไรมาก มันเพียงเพราะว่า เรื่องนรี้ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนทำนองรำพึงรำพันว่า อายุ 63 เข้าไปแล้ว ตอนนี้ผมก็อายุ 63 กว่า ๆ แน่นอนว่า เรื่องรุปธรรมกำลังคิด ย่อมไม่เหมือนกับอาจารย์หม่อมคิดเมื่อ พ.ศ 2516 แต่ที่คล้ายกันคือ คิดเรื่องอดีตหนหลัง............. เมื่อันที่ 24 เมษายน 2516 อาจารย์หม่อมเขียนไว้ว่า “ผมอายุ 63 เข้าไปแล้ว วันนี้ขออนุญาตคุยเรื่องเก่า ๆ เทียบกับเรื่องใหม่ ๆ สักวันเถิดครับ ผมเป้นคนที่เรียกได้ว่า เกิดมาในยุคเหาะเหินเดินอากาศ เพราะมนุษย์เริ่มขึ้นเครื่องบินเหาะได้ในปีที่ผมเกิด จนถึงบัดนี้ก็ขึ้นจรวดไปลงพระจันทร์ได้แล้ว แต่เมื่อได้มาสำรวจประวัติของตนเองในยุคที่กล่าวมานี้ ก้เห็นจะต้องกล่าวว่า ตัวผมเองออกจะเป็นเคราะห์ร้าย ทางด้านอาหารการกินนั้น เคราะห์ร้ายอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อผมยังเป็นเด็กนั้น คติของคนไทยยังห้ามเด็กไม้ให้กินอะไรต่ออะไรมากมายมากมายหลายอย่าง อาหารประเภทที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ กุ้ง ตลอดจนไข่ ห้ามไม่ให้เด็กกิน หรือกินแต่น้อย โดยอ้างว่าถ้ากินมากแล้วจะเป็นตานขโมยหรือเป็นทราง เมื่อผู้ใหญ่บังคับไม่ให้กินสิ่งเหล่านี้มาก หรือเกือบจะไม่ได้กินเลย ผมก็ไม่เคยเป็นทั้งสองโรค เลยไม่รู้สึกว่าเป็นตานขโมยหรือเป็นทรางนั้นเป็นอย่างไร ผลไม้อื่น ๆ นกจากกล้วย ก้ห้ามไม่ให้กินมาก ว่าเพราะเสาะท้อง มังคุดนั้นเกือบจะไม่ได้แตะเลย เพราะผู้ใหญ่ว่ากินเข้าไปแล้วจะเป็นมูกเลือด สรุปแล้วของดี ๆ กินไม่ได้ ต้องเก็บไว้ให้ผู้ใหญ่กินเท่านั้นเอง” เรื่องห้ามเด็กกินโน่นกินนี่เยอะแยะนั้น ข้าพเจ้าแม้จะเกิดในตระกูลชาวสวน แต่เนื่องจากพ่อเคยเรียน “มหาวิทยาลัยธรรมศาสร์และการเมือง” (เรียนไม่จบ) มีหัวสมัยใหม่ขึ้น เรื่อ การห้ามอาหารของเด็กจึงไม่มี ยกเว้นในยามป่วย จึงจะห้ามกินของแสลง เช่น ถ้าเป็นบาดแผลก็ห้ามกินไข่ จะเพราะอย่างไรก็ไม่รู้ จึงได้ยินมาตั้งแต่จำความได้ว่า ข้าพเจ้าเป็นเด็กอ่อนแอ ป่วยบ่อย.... ป่วยแล้วก็ต้องไปคลีนิค คือไปหาแพทย์แผนไทย ยังจำชื่อท่านได้ว่ามีหมอสองท่านที่ครอบครัวข้าพเจ้าไปพึ่งพายามเจ็บป่วย คือ “หมอผาด” กับ “หมอปาน” จำได้ว่า “หมอปาน” ท่านเชี่ยวชาญโรคเด็ก คลีนิคท่านอยู่ใกล้ท่าน้ำบางขุนพรหม ตรงข้ามธนาคารแห่ ประเทศไทยในปัจจุบัน คุณย่าพาข้าพเจ้าเดินจากบ้านมาข้ามเรือที่วัดคฤหบดีหรือบ้านปูนก็จำไม่ได้ แล้วเดินไปที่ร้านหมอ แน่นอนครับ โรคเด็ก ก็ไม่พ้นถูก “กวาดคอ” คือหมอเอานิ้วป้ายยาไทย ล้วงไปกวาดในลำคอ เป็นเรื่องทรมานของเด็กขนาดเข็ดหลาบกันเลยทีเดียว เรื่องการกินผลไม้นั้น หากกินมากเกินขนาด มันย่อมก่ออาการผิดปกติได้ ครอบครัวข้าพเจ้ามีสวน เรื่องผลไม้จึงมีมากมาย กินกันทีไม่ใช่ซื้อชั่งกิโลมา แต่เก็บจากต้นมากินกันเป็นหาบ ๆ ทุเรียนนั้นไม่ใช่กินเป็นพูเป็นเม็ด แต่กินกันคนละลูก ตัวข้าพเจ้าตอนเป็นเด็กเคยกินขนุนมากจนท้องอืดเป็นลมตัวเขียวเลยทีเดียว ยาประจำบ้านขาดไม่ได้ต้องใช้บ่อยเพราะอยู่ในสวนแมลงสัตว์กัดต่อยได้ทั้งวัน คือ “ยามนต์ไพล” เป็นยาวิเศษจริง ๆ ล้มป่วยจนต้อง “นอนใบตอง” ก้เคยมาแล้ว คือเป็น “งูสวัด” เกือบรอบเอว ฝีแตกเฟะเป็นหนอง ต้องใช้ใบตองรองนอนไม่ให้ผ้าปูที่นอนเปื้อน ตื่นเช้ามาก็ช่วยย่าใส่บาตรพระทุกวัน พ่อกลับถึงบ้าน ข้าพเจ้าก็ต้องไปยืนขับทำนองเสนาะโคลงโลกนิติให้แกฟัง... บัดนี้ตัวข้าพเจ้าเองก็แก่สูงวัยกว่าพ่อของข้าพเจ้าในตอนโน้นไปแล้ว เรื่องอาหารการกินก็กลายเป็นว่าถูกห้ามมากมาย ทำนองเดียวกับที่ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านบ่นไว้ว่า “ส่วนผู้ใหญ่นั้น เกือบจะกินอะไรไม่ได้เลย กินเนื้อสัตว์มากก้ไม่ดี เพราะความดันโลหิตจะขึ้นสูง กินแป้งมากก็ไม่ได้ เพราะจะเพิ่มไขมันทำให้หัวใจวายง่าย กินไข่ก็ไม่ได้อีก เพราะจะไปทำให้เกิดไขมันในเส้นเลือด ตายไม่รู้ตัว ขนมนมเนยตลอดจนผลหมากรากไม้ก็ดูเหมือนจะกินไม่ได้ไปทั้งนั้น เพราะถ้าไม่เพิ่มไขมันก็ทำให้เกิดแก๊สในท้องบ้าง ทำให้เกิดอาการวิปริตต่าง ๆ บ้าง สรุปแล้วในสมัยที่ผมเป็นผู้ใหญ่ ของดี ๆ ต้องเก็บไว้ให้เด็กกิน ผู้ใหญ่กินแต่เศษ” ครับ ทุกวันนี้ข้าพเจ้ากินอาหารทุกมื้อปริมาณเพียงเศษหนึ่งส่วนสี่ ของปริมาณที่เคยกินเมื่ออายุห้าสิบปี เมื่อไปเลี้ยงอาหารลูก ๆ ตามร้านอาหาร ก็ได้แต่บอกลูกว่า พ่อกินมาเยอะแล้ว ตอนนี้ให้ลูก ๆ กินไปเถอะ