ทวี สุรฤทธิกุล
ทำไม “บางคน” จึงไม่อยากให้มีเลือกตั้ง? “บางคน” นี้หมายถึงตั้งแต่ คสช.และชนชั้นนำ ลงมาจนถึงชาวบ้านจำนวนหนึ่ง โดยมีเหตุผลที่พอรู้กันอยู่ข้อหนึ่งถึงการปฏิเสธการเลือกตั้งว่า “ไม่เกิดประโยชน์” เพราะคงจะได้นักการเมือง “พันธุ์เดิมๆ” ที่โกงกินและเลวทรามชั่วช้าเข้ามาอีก
ใครนะที่บอกว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้นคือระบอบการปกครองที่ “เลวน้อยที่สุด” โดยตรรกะจากคำจำกัดความนี้ ระบอบประชาธิปไตยจึงไม่น่าจะใช่ระบอบการปกครองที่ดีที่สุด หรือถ้าจะมีความดีก็คงจะมีเพียงเรื่องเดียวก็คือ “เป็นการปกครองที่ประชาชนได้คิดเองทำเอง” ซึ่งหลายประเทศที่เขาประสบความสำเร็จในการสร้างประชาธิปไตย เขาก็เริ่มมาจากต่อสู้เรียกร้องของประชาชนทั้งสิ้น หรือถ้าจะนำประชาธิปไตยสำเร็จจากประเทศต้นแบบมาใช้จนประสบความสำเร็จ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการยอมรับจากประชาชนนั้นเสียก่อน คือประชาชนต้องมีความเคารพศรัทธาในระบอบนี้ และปฏิบัติตามกติกาที่วางไว้อย่างพร้อมเพรียง
ดังที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ในคอลัมน์นี้ในชุดบทความที่ชื่อ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตั้งแต่ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต มาจบลงเมื่อสัปดาห์ก่อนหลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระองค์ท่าน ที่เขียนไว้ทั้งรวมสิ้น 45 ตอน สาระโดยย่อก็คือการวิเคราะห์ให้เห็นว่า ทำไมระบอบประชาธิปไตยของไทยจึงมีชื่อเรียกว่าดังนั้น ซึ่งก็เกิดขึ้นเนื่องด้วยคนไทยเห็นความสำคัญของพระมหากษัตริย์ เพราะพระมหากษัตริย์ “ทรงปกครองโดยสุจริตและซื่อสัตย์ในการทรงงานเพื่อประชาชน” มาอย่างยาวนาน ดังนั้นแม้ว่าจะมีคณะบุคคลที่พยายามจะทำให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตย(ซึ่งก็ได้อธิบายไว้เช่นกันว่าประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบสากลนั้นเลย อันเนื่องมาจาก “การปกครองโดยทุจริตและการเอาแต่ประโยชน์ของตนกับพวกพ้อง”)มาตั้งแต่ พ.ศ. 2475 รวมถึงมีความพยายามที่จะ “บั่นทอนและกีดกัน” พระมหากษัตริย์ออกจากบทบาทในทางการเมืองการปกครองก็หาประสบความสำเร็จไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความ “อัปลักษณ์” ของผู้มีอำนาจทั้งที่มาจากการรัฐประหารและการเลือกตั้งกลับทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีความโดดเด่น ที่สุดด้วยความ “ถวิลหวัง” ของประชาชนที่มีต่อองค์พระมหากษัตริย์ จึงได้ดึงให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องลงมาผูกพันกับการเมืองการปกครอง ดังที่เราเรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
อันที่จริงผู้เขียนมีความคิดเห็นที่มองไปข้างหน้าอีก(แต่ยังไม่กล้าเสนอในบทความชุดนั้น)ว่า ระบอบนี้อาจจะไม่ปรากฏบทบาทอันเด่นชัดของพระมหากษัตริย์ในทางการเมืองการปกครอง “อย่างเต็มพระองค์” ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ ประการแรก ระบอบนี้จำเป็นจะต้องมีการปกป้องคุ้มครองให้สถาบันพระมหากษัตริย์ให้ “ปลอดจากการเมือง” ดังที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับได้กำหนดไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความมัวหมองแก่สถาบันที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ และอีกประการหนึ่ง พระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบการปกครองแบบนี้ก็ต้องระมัดระวังพระองค์ไม่ให้ล่วงล้ำไปในการใช้อำนาจทางการเมืองการปกครองโดยไม่รู้พระองค์ ดังที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณีกิจต่างๆ มาด้วยความเรียบร้อยถูกต้องเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ด้วย “ความบกพร่อง” ของระบบการเมืองไทย อันเกิดความล้มเหลวของผู้ปกครองทั้งที่มาจากการรัฐประหารและการเลือกตั้ง จึงไม่อาจจะลด “ความถวิลหวัง” ที่ประชาชนจะเรียกร้องหา “ผู้ปกครองที่ดีกว่า” และที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดหรือที่คนไทยคุ้นเคยที่สุด ก็คือ “พระมหากษัตริย์” แต่ด้วย “ข้อจำกัด” 2 ประการข้างต้น ทำให้ผู้ใดก็ตามที่ต้องการ “ความมั่นคงทางอำนาจ” จึงต้องเชื่อมโยงตนเองหรือกลุ่มของตนเข้ากับพระมหากษัตริย์ เช่น อ้างว่าเข้ามามีอำนาจเพื่อปกป้องคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ หรืออาจจะอ้างว่าเพื่อส่งเสริมพระบรมเดชานุภาพให้พระองค์ท่าน ดังที่เคยปรากฏอยู่ในระบบการเมืองไทย ซึ่งในบางยุคสมัยก็ได้สร้างปัญหาให้ทั้งแก่ระบบการเมืองไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ จนถึงขั้นที่เป็นวิกฤติเสียหายร้ายแรง รวมถึงที่ได้ก่อให้เกิด “วงจรอุบาทว์” มีการเลือกตั้งสลับกับรัฐประหารนี้เรื่อยมา
ผู้เขียนเชื่อว่าไม่มีผู้ใดที่สามารถจะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คนไทยเคารพเทิดทูนยิ่งนี้ได้ แต่ถ้าหากเราปล่อยให้มีสภาพการณ์ของการเมืองไทยเป็นอยู่อย่างนี้ แน่นอนว่าอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยากที่จะป้องกันได้ โดยเฉพาะในโลกสมัยใหม่ที่ความคิดของผู้คนถูกกระแสความเชื่อความคิดต่างๆ “พัดปั่นป่วน” อยู่ตลอดเวลา รวมทั้งความคิดที่ว่าระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องนั้นก็คือ “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” ซึ่งจะต้องผ่านระบบการเลือกตั้งเท่านั้น
ขณะนี้หลายฝ่ายไม่เฉพาะแต่ คสช.ที่เป็นกังวลว่า การเลือกตั้งอาจจะนำมาซึ่งความวุ่นวายทางการเมืองรอบใหม่ ถึงขั้นที่บางคนฟันธงว่าหลังเลือกตั้งไม่นานนักหรอกก็อาจจะมีรัฐประการอีก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้แล้วก็น่าเสียดายและเสียใจสำหรับการเมืองไทย ที่ต้องเผชิญปัญหาอันเป็น “วังวน” อยู่อย่างนี้
บางคนถามว่าแล้วจะมีการเลือกตั้งไปทำไม ถ้ามันเปล่าประโยชน์และนำมาซึ่งความวุ่นวายดังนั้น
ถ้าจะให้ผู้เขียนตอบก็มีคำตอบอยู่แล้วว่า “เลือกตั้งไปเถอะ” เพราะทหารจะได้พักเหนื่อย(ที่จริงยังมีอำนาจอยู่ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติคอยกำกับดูแลอยู่และมีรัฐธรรมนูญคลุมไว้อีกที รวมทั้งที่เข้าไปเป็นสมาชิกวุฒิสภาจำนวนมากนั้นด้วย) แล้วให้ประชาชนได้ “คัดเลือก” คนของเขาส่วนหนึ่งเข้าไปในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถ้าประชาชนยังเลือกพวกนักการเมืองหน้าเก่า “สายเลือดเก่า” ก็ค่อยออกมา “ตั้งค่าย” คอยจัดการอีกที แต่ในความเชื่อของผู้เขียนนั้นการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้เราน่าจะได้ ส.ส.ที่ “พิเศษ”กว่าแต่ก่อน
ถ้าไม่ใช่ ส.ส.ที่เอาใจประชาชน ก็ต้องเอาใจ คสช.