ในที่สุดการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้สะท้อนว่าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง โดยที่ประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณารับหลักการวาระแรกร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมรายมาตราลงมติรับหลักการวาระหนึ่งเพียงฉบับเดียวจาก 13 ฉบับ คือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 เป็น 1 ใน 6 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอประเด็นระบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบ ด้วยมติเห็นชอบ 552 เสียง แบ่งเป็น ส.ส. 342 เสียง และ ส.ว. 210 เสียง ส่วนไม่เห็นชอบ 24 เสียง และงดออกเสียง 130 เสียง
ส่วนฉบับอื่นๆ เนื่องจากเสียง ส.ว. ไม่ถึง 84 เสียง ตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนดทำให้ต้องตกไป โดยเฉพาะฉบับยกเลิกอำนาจของ ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้รับความเห็นชอบนั้น เนื้อหาสาระหลักเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไข มาตรา 83 และมาตรา 91 เกี่ยวกับจำนวน ส.ส. และระบบเลือกตั้ง ส.ส. กล่าวคือ
มาตรา 83 ให้ ส.ส.มีจำนวน 500 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 400คน และมาจากการเลือกตั้งขั้นแบบบัญชีรายชื่อ100 คน จากที่รัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนด ให้ ส.ส.เขต 350 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ150 คน โดยเป็นการเพิ่มจำนวนเขตเลือกตั้ง และเป็นเลือกตั้งแยกระหว่างเลือกคน กับการเลือกพรรค แบบรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือ 2550 ซึ่งส่งผลให้เกิดการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ จากเดิมที่รัฐธรรมนูญ 2560 ใช้ระบบบัตรใบเดียวเลือกตั้งเฉพาะ ส.ส.เขตเท่านั้น
และมาตรา 91 ยกเลิกวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อของรัฐธรรมนูญ 2560 กลับไปใช้วิธีการคำนวณที่สอดคล้องกับรูปแบบบัตร 2ใบ กำหนดให้นำคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคได้รับทั่วประเทศ มาคำนวณเพื่อจัดสรรที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคมาคำนวณเพื่อจัดสรรที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค
อย่างไรก็ตาม แม้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว จะมีการอภิปรายไม่เห็นด้วย ทั้งจากสมาชิกวุฒิสภา และส.ส.พรรคก้าวไกล โดยมองว่าการเพิ่มเขตเลือกตั้ง ทำให้สัดส่วนพื้นที่ถูกซอยให้มีขนาดเล็กลง เอื้อต่อระบบพรรคการเมืองใหญ่ และอาจกระทบต่อพรรคการเมืองเล็กที่ไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่
โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อพรรคการเมืองขนาดเล็ก ซึ่งเราอาจจะได้เห็นการเมืองกลับไปเหลือเพียง 2 พรรคใหญ่ ที่แข่งกันทางการเมือง บีบให้พรรคการเมืองขนาดเล็กต้องตัดสินใจ เพื่อความอยู่รอดในการเลือกตั้ง พรรคขนาดกลางก็อาจจะกลายเป็นพรรคต่ำสิบ การควบรวมเข้ากับพรรคการเมืองขนาดใหญ่จะมีมากขึ้น