เรียบร้อยโรงเรียน "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ "หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ" ลงไปแล้ว สำหรับปฏิบัติการ "ปรับโครงสร้างใหม่" ให้กับ พรรคพลังประชารัฐด้วยการสั่งเปลี่ยน "ตัวเล่น" จัด "มือวางอันดับหนึ่ง" อย่าง "ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขึ้นไปนั่งเก้าอี้ใหญ่ "เลขาธิการพรรค" คนใหม่ อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา การเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ในห้วงเวลานี้ ย่อมน่าสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะนี่ย่อมไม่ใช่แค่วาระการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในพรรคระดับแกนนำรัฐบาลทั่วๆไปเท่านั้น หากแต่การเปลี่ยนแปลงรอบนี้ เมื่อมีความชัดเจนแล้วว่า มีการให้สัญญาณ "แตกหัก" กับ "กลุ่มสามมิตร" ที่สนับสนุน "อนุชา นาคาศัย" รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จนได้เป็นเลขาฯมาสำเร็จก่อนหน้านี้ได้แล้ว การแลกกับ "ความขัดแย้ง" ที่ปะทุขึ้นภายในพรรคพลังประชารัฐ ระหว่าง "คนสมหวัง" อย่าง ร.อ.ธรรมนัส ที่มี "กลุ่ม 4 ช." และพล.อ.ประวิตร สนับสนุน กับ "คนอกหัก" อย่าง อนุชา และกลุ่มสามมิตร ย่อมต้องมอง "เป้าหมาย" และ "ประโยชน์" ที่มากเกินกว่า เรื่องตำแหน่งแห่งหนภายในพรรค หรือการได้รับโอกาสทำงาน "ขึ้นตรง" กับหัวหน้าพรรคพลังที่ชื่อ พล.อ.ประวิตร เท่านั้น ! การงัดข้อ ช่วงชิงอำนาจกันภายในพรรคระหว่าง "กลุ่ม 4 ว." ที่มีแกนนำกลุ่มสามมิตรเป็นแกนหลักประกอบด้วย สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ที่บัดนี้ได้รับตำแหน่ง "ประธานยุทธศาสตร์พรรค" , สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม , "เสี่ยเฮ้ง" สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และตัวอนุชา กับ "กลุ่ม 4 ช." ประกอบด้วย ร.อ.ธรรมนัส , นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน, สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และ อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม รวมทั้ง วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล บิดาของอธิรัฐ เมื่อการต่อสู้เดินมาถึงทางแยก ที่เต็มไปด้วยจุดพีค เมื่อถึงบทสรุปที่ว่า "กลุ่ม 4 ช." ของ ร.อ.ธรรมนัส เป็นฝ่ายได้เก้าอี้เลขาฯพรรคคนใหม่ เบียดอนุชา จากกลุ่มสามมิตรจนตกเก้าอี้ ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าแท้จริงแล้ว พรรคพลังประชารัฐกำลังเข้าสู่โหมดของการเตรียมบุกสนามรบในภาคการเมืองอย่างเต็มตัว เพราะการมาของร.อ.ธรรมนัส คือการส่งสัญญาณว่าพรรคจะต้องกวาดชัยชนะในสนามเลือกตั้งส.ส.ให้ได้รอบหน้า มากที่สุด ภายหลังจากที่ "มือกฎหมาย" อย่าง "ไพบูลย์ นิติตะวัน" ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ของพรรค เดินเกมแก้รัฐธรรมนูญได้ลุล่วง เมื่อพล.อ.ประวิตร ในฐานะ "พี่ใหญ่" คุมพรรคพลังประชารัฐได้เบ็ดเสร็จ มี "มือขวา" อย่างร.อ.ธรรมนัส ทำหน้าที่สนองงานด้านการเมือง ทั้งในสนาม ส.ส. ไปจนถึงการเลือกตั้ง "ผู้ว่าฯกทม." ซึ่งแน่นอนว่า คนที่พรรคส่งจะต้องชนะการเลือกตั้ง และเข้ามาเป็น "ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่" ในที่สุด เพราะนี่คือ "ภารกิจ"หลักๆของร.อ.ธรรมนัส ขณะเดียวกัน อีกแนวรบด้านหนึ่ง คือการสร้างผลงาน จะเป็นหน้าที่ของ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่จะต้องทวงคืน "คะแนน" ผ่านสมรภูมิโควิด-19 ให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นสถานการณ์ของรัฐบาลจะยิ่งย่ำแย่และบอบช้ำ ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าวาระแห่งชาติว่าด้วยการฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้า 50 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงการเตรียมทุกความพร้อมเพื่อเตรียมรับการเปิดประเทศ ภายใน 120 วัน โดยจะไปอยู่ในช่วงเดือนต.ค. เมื่อมิติการบริหารงาน ไปพร้อมๆกับการบริหารความเชื่อมั่นของรัฐบาลโดยพล.อ.ประยุทธ์ เดินมาถึง "จุดเปลี่ยน" ไม่แตกต่างไปจากมิติแห่งการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐ การปรับเปลี่ยนตำแหน่ง "ผู้เล่น" จึงใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ !! กระแสข่าวการปรับครม.ที่เคยดังหนาหูมาก่อนหน้านี้ อาจถึงเวลาเข้าใกล้ความเป็นจริง โดยเฉพาะการเปลี่ยนเอา ร.อ.ธรรมนัส ออกจากตำแหน่งในครม. เพื่อลงไปลุยงานด้านการเมืองเพียงอย่างเดียว น่าจะเป็น "ทางออก" ที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะรัฐบาลย่อมจะได้โอกาสลดแรงเสียดทานที่เคยได้รับมาก่อนหน้านี้อย่างหนักหน่วง กรณีประเด็นปัญหาที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ตัวร.อ.ธรรมนัส ขณะเดียวกัน ยังอาจช่วยลดแรงกดดันความขัดแย้งที่คุกรุ่นจาก "คนอกหัก" อย่างกลุ่มสามมิตร ได้ในอีกด้านหนึ่งด้วยเช่นกัน !