ทวี สุรฤทธิกุล
รัชกาลที่ 9 คือกษัตริย์ที่เกิดจาก “การหลอมใจ”
นี่คือปัจจัยประการสุดท้ายที่เป็นแรงผลักดันให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงตัดสินใจพระทัยรับเป็นพระเจ้าแผ่นดิน นั่นก็คือ “แรงบันดาลพระทัยจากคนไทย”
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธ์ ปราโมช เล่าให้ผู้เขียนและลูกศิษย์อีกหลายคนฟังว่า ในบรรยากาศที่แสนโศกเศร้าวคราวสวรรคตของรัชกาลที่ 8 แม้โดยพระราชประเพณีพระอนุชาธิราชเจ้าต้องขึ้นครองราชย์สืบต่อในทันที แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์อยู่มากพอสมควร ที่ดูจะไม่มั่นใจใน “ความมั่นคง” ในพระราชฐานะนั้น แต่ที่สุดก็ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชประเพณี กระนั้นก็ต้องมีการดำเนินการให้เกิดความมั่นใจแก่ราชบัลลังก์อยู่ด้วย ซึ่งก็พอดีกับที่พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่จำเป็นจะต้องไปรับการศึกษาให้เสร็จสิ้น จึงต้องเสด็จไปยังยุโรปอีกครั้งหนึ่ง โดยทรงใช้เวลาอีก 3 ปีเพื่อการดังกล่าวนั้น
ในช่วงเวลานั้นเอง ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 คณะรัฐประหารที่นำโดยพลโทผิน ชุณหวัน ก็ได้เข้ายึดอำนาจรัฐบาลของฝ่ายพลเรือนที่ยังคงอยู่ใต้อำนาจของนายปรีดี พนมยงค์ ที่อาจจะนับได้ว่าเป็นการคลายอุปสรรค “เปลาะแรก” ที่สังคมกำลังอยู่ในความกังวลเกี่ยวกับกรณีการสวรรคตของรัชกาลที่ 8 เพราะเหตุผลหนึ่งในการทำรัฐประหารที่แจ้งไว้ในแถลงการณ์ของการยึดอำนาจก็คือ เพื่อคลี่คลายกรณีการสวรรตนั้นด้วย ซึ่งคณะรัฐประหารที่ต่อมาได้ถ่ายโอนอำนาจให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยได้ยุบคณะสอบสวนที่ตั้งรัฐบาลของนายปรีดี ซึ่งสังคมไม่ค่อยมีความเชื่อใจ แล้วให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนคณะใหม่ อันนำมาสู่การจับกุมและส่งผู้เกี่ยวข้องขึ้นศาลใน พ.ศ. 2492 ซึ่งในปีนั้นกลุ่มของนายปรีดีก็พยายามที่จะกลับคืนสู่อำนาจโดยส่งกองกำลังส่วนหนึ่งเข้ายึดพระบรมมาราชวัง ที่เรียกว่า “กบฏวังหลวง” แต่ไม่สำเร็จ ทำให้นายปรีดีต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศอย่างถาวรจนกระทั่งเสียชีวิตที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งก็ทำให้สังคมไทยมีความสบายใจในความมั่นคงของพระราชฐานะขึ้นมาในระดับหนึ่ง
ต่อมาในต้นปี 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้เสด็จกลับมาประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเชษฐาธิราช พร้อมประกอบพิธีพระบรมราชาภิเษกขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นสร้างขวัญและกำลังใจให้กับคนไทยทั้งประเทศได้อย่างดียิ่ง ก่อนที่จะแสด็จกลับไปรักษาพระเนตรอันสืบเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ให้เรียบร้อย และในคราวที่เสด็จกลับยุโรปในครั้งหลังนี่เองที่เกิดปรากฏการณ์อันเป็นที่จดจำ คือในระหว่างทางเสด็จไปยังสนามบินดอนเมือง ประชาชนที่มาส่งเสด็จได้ตะโกนร้องขึ้นว่า “ในหลวงอย่าละทิ้งประชาชน” ดังที่เคยมีพระราชดำรัสกล่าวถึงเรื่องนี้ในภายหลังต่อมาว่า ก็ทรงอยากจะตอบกับประชาชนทั้งหลายนั้นว่า “ถ้าประชาชนไม่ละทิ้งข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ละทิ้งประชาชน”
ด้วยพระราชดำรัสดังกล่าวนี้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงนำพระราชหฤทัยที่ทรงมีความมุ่งมั่นจะเป็นพระมหากษัตริย์เพื่อคนไทยทั้งปวงโดยแท้ เพราะว่าเมื่อได้นิวัติคืนสู่ประเทศไทยเมื่อเสร็จสิ้นพระราชภาระที่ยุโรปแล้ว ก็ได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมประชาชนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2497 ดังที่สื่อมวลชนเรียกว่า “เสด็จเยี่ยมราษฎร 4 ภาค” โดยเริ่มจากเสด็จภาคกลางในเดือนกันยายน พ.ศ. 2497 ต่อไปที่ภาคอิสาน ภาคเหนือ และสิ้นสุดที่ภาคใต้ในเดือนมีนาคม 2498 นับเป็นเวลาทั้งสิ้น 6 เดือน ถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ “สุดมหัศจรรย์” เพราะได้นำความปิติยินดีมาสู่อาณาประชาราษฎร์ทั่วประเทศอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในการเสด็จเยี่ยมราษฎร 4 ภาคในครั้งนั้น ได้ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตระหนักถึงความจงรักภักดีอันล้นพ้นที่คนไทยมีต่อพระองค์ เหนืออื่นใดก็คือ “ความรักจากหัวใจ” ที่คนไทยได้มอบถวายแก่พระองค์จนหมดสิ้น เป็นความที่บริสุทธิ์และแนบแน่น อันเป็นเครื่องบำรุงหล่อเลี้ยงพระราชหฤทัยให้มุ่งมั่นในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างไม่ทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยและความยากลำบาก ดังจะเห็นได้จากพระราชจริยวัตรตลอดเวลาที่ทรงครองราชย์เกือบ 70 ปีนั่น
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เคยเข้าเฝ้าหลังจากที่ทรงเสด็จกลับจากการเยี่ยมราษฎรอยู่หลายครั้ง ได้สังเกตเห็นว่าทรงมีพระพลามัยแข็งแรง พระพักตร์สดชื่นแจ่มใจ มีพระอารมณ์ที่ดีคือมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า ความรักของราษฎรคงเป็นเหมือน “ยาวิเศษ” ที่ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงพระเจริญและทรงพระเกษมสำราญเป็นที่สุด อีกนัยหนึ่งนั่นก็คือ “ความสุขของคนไทยคือความสุขของพระเจ้าอยู่หัว”
ที่หัวนอนของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จะมีพระบรมฉายาลักษณ์ที่หนังสือพิมพ์ไทม์ (Time) ได้ถ่ายขึ้นปกวางไว้ ที่หน้าปกนี้เป็นภาพพระพักตร์เต็มพระพักตร์ด้วยพระพักตร์ที่ดูกร้านเกรียมด้วยเปลวแดดและแรงลม ซึ่งน่าจะเป็นภาพที่ถ่ายในระหว่างเสด็จไปเยี่ยมเยียนราษฎรนั่นเอง โดยมีตัวหนังสือพิมพ์ไว้ตรงส่วนหนึ่งว่า “The Working King” นี่ก็ย่อมแสดงถึง “พระองค์จริงๆ” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่คนทั่วโลกเห็นแล้วว่าไม่เหมือนกับพระมหากษัตริย์ในประเทศใดๆ
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวที่ทรงงานหนัก “จนหมดสิ้นพระวรกาย” เพื่อประชาชน