คอลัมน์ ทางเสือผ่าน
แสงไทย เค้าภูไทย
แนวคิดสร้างเขื่อนปิดก้นอ่าวไทย ตามแบบ zuidezeewerken ที่ปิดก้นอ่าวทะเลซุยเดอซีของเนเธอร์แลนด์แก้น้ำท่วมตั้งแต่ 700 ปีมาจนทุกวันนี้ ทบทวนกันครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ไม่ทำ น้ำท่วมกรุงเทพฯหนักทีไรก็คิดกันทีนั้น ล่าสุดฝนคืนวันศุกร์ 13 ต .ค.ท่วมถึงเข่าระบายกันยันเช้าวันจันทร์ก็ยังไม่หมด
แนวคิดสร้างเขื่อนปิดก้นอ่าวไทยเริ่มในปลายยุคทักษิณ ชินวัตร ในชื่อโครงการโรแมนติกว่า “เขื่อนสามสมุทร หนึ่งนักครา สี่มหานที”กั้นปากแม่น้ำบางปะกง ข้ามก้นอ่าวไปจรดแหลมผักเบี้ย เพชรบุรีผ่าน “สามสมุทร” (ปราการ สาคร สงคราม) กรุงเทพฯ (มหา) “นัครา” “สี่มหานที” แม่น้ำบางปะกง-เจ้าพระยา-ท่าจีน-แม่กลองคล้าย Zuiderzeewerken ของเนเธอร์แลนด์ที่สร้างโดยวิศวกรอเมริกันเมื่อ 700 ปีมาแล้ว ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,000 ตารางไมล์ของไทยหากสร้างได้ จะมีพื้นที่หลังเขื่อน 1.5 ล้านไร่ ใช้งบประมาณก่อสร้างในช่วงเริ่มคิด 160,000 ล้านบาท
จุดนี้เป็นจุดถกเถียงและโจมตีกันว่า งบฯก่อสร้างขนาดนั้น จะทำให้คนในรัฐบาลทักษิณและผู้สนับสนุนรวยกันเละเหมือนครั้งสร้างสนามบินสุวรณภูมิปัญหาคอรัปชั่นสุวรรณภูมินั้น เกิดตั้งแต่ซื้อที่ดินหนองงูเห่าเมื่อ 42 ปีที่แล้ว จนไม่มีใครกล้าแตะต้องเพราะกลัวถูกหามีส่วนได้ส่วนเสียในการก่อสร้างแต่เมื่อสร้างเสร็จ เปิดใช้ จนเดี๋ยวนี้ชักจะแออัด คนที่เคยโจมตีก็เงียบไป
เรื่องกินตามน้ำ ใต้น้ำ ใต้โต๊ะนั้น มีกันทั้งนั้น เพราะเรายังลงทุนในด้านพัฒนาบุคคลากรต่ำ ทำให้จิตสำนึกในด้านโปร่งใสต่ำ แม้ในรัฐบาลที่คุยว่าปราบทุจริตอย่างเข้มแข็งวันนี้ก็ยังมีเรื่องเช่นนี้
อันดับดัชนีความโปร่งใส (Corruption Perceptions Index -CPI) ของไทยลดลงมา 3 อันดับในปีนี้ อันดับชาติกินสินบนขึ้นพรวด เป็นที่ 3 ของเอเชียในปีปัจจุบัน รัฐบาลปัจจุบันแต่คอรัปชั่นแล้วมีผลงาน เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ประชาชนย่อมรับได้ดังโพลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่อัตราการ “รับได้” ยังสูงกว่า 60%เขื่อนกั้นก้นอาวไทยก็โดนโจมตีเช่นกัน นอกจากค่าก่อสร้างแล้ว เมื่อวิดน้ำออกไปจนแห้ง พื้นที่หลังเขื่อนจะมีมูลค่ามหาศาลแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้บอกว่า หากจะวิดน้ำออกจากพื้นที่หลังเขื่อนให้หมดแล้ว จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 50 ปีแห้งแล้ว ยังต้องพัฒนา ต้องทำร่องน้ำ งานระบบต่างๆฯลฯ ใช้งบฯมหาศาล ปล่อยให้น้ำขังอยู่เช่นนั้น รักษาระดับน้ำให้ต่ำกว่าระดับหน้าเขื่อนเพื่อกันไว้สูบน้ำออกจากหลังเขื่อนยามฝนตกหนักหรือน้ำบ่าเช่นในขณะนี้จะดีกว่าปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนหมดไป ซึ่งขณะนี้หนุนจนน้ำเอ่อท้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ถึงกับกรมเจ้าท่าประกาศห้ามเดินเรือคลองแสนแสบยิ่งกว่านั้น ยังแก้ปัญหาน้ำเค็มจากน้ำทะเลหนุน ที่บางฤดูแล้งขึ้นไปถึงปากเกร็ดให้หมดไปด้วย
ส่วนตัวสันเขื่อนนั้น จะเป็นถนนระยะทาง 120 กิโลเมตร ย่นระยะเดินทางจากภาคใต้มาท่าเรือแหลมฉบังได้กว่า 500 กิโลเมตร
หากไม่สร้างเขื่อน กรุงเทพฯหนีไม่พ้นจมน้ำหมดทั้งพื้นที่ใน 15 ปี เพราะปัจจุบันนี้ก็อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 10-20 เซนติเมตรอยู่แล้ว ทั้งยังมีอัตราทรุดตัวปีละ 10-15 เซนติเมตร
อีกไม่ถึง 10 ปีกรุงเทพฯน่าจะอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 1.43 เมตร โดยบวกด้วยอัตราน้ำทะเลสูงต่อปี 4.3 มิลลิเมตรระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทุกปี เป็นผลกระทบ จากภาวะที่โลกร้อนขึ้นด้วยระดัคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงขึ้นโดยวัดล่าสุด 400 ppm (ต่อ 1,000) สายเกินไปที่จะแก้ไขแล้ว มีแต่ชาวโลกจะต้องปรับตัวให้รอดพ้นภัยพิบัติเท่านั้น จึงจะอยู่ได้สหประชาชาติระบุว่า ในปี 2050 (อีก 33 ปี) น้ำจะท่วมโลก 500 เกาะของอินโดนีเซียจะจมมิด ประชากรกว่า 27 ล้านคนจะต้องอพยพขึ้นไปแออัดกันบนเกาะและยอดเขาสูงๆ
เมืองไทยหากไม่สร้างเขื่อนปิดก้นอ่าว ชาวกรุงกว่า 10 ล้านคน ก็จะอยู่ในพวก 27 ล้านคนที่ต้องตะกายไปอยู่ที่ราบสูงโคราชปัจจุบันนี้ ระดับน้ำในมหาสมุทรเพิ่มขึ้นทุกปี จาก 2.3 มิลลิเมตรต่อปีโดยเฉลี่ยเมื่อทศวรรษที่แล้ว ขณะนี้เป็น 3.4 มิลลิเมตร วัดผ่านดาวเทียมเมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 อยู่ที่84.9 มิลลิเมตรสูงจากระดับที่วัดเมื่อปี 2538 หรือ 22 ปีที่แล้วสิ้นศตวรรษนี้ 2100 (พ.ศ. 2643) หรืออีก 83 ปีระดับน้ำทะเล จะขึ้นสูงถึง 200 เซนติเมตรหรือ 2 เมตรมีผลกระทบประชากรโลก 143-216 ล้านคน ชาติที่กระทบหนักคือจีน อินเดีย บังกลาเทศ เวียดนาม อินโดนีเซียและญี่ปุ่น
โดยเฉพาะบังกลาเทศนั้นจะสูญเสียแผ่นดินชายทะเลไป 22,000 ตารางกิโลเมตร ประชากรเดือดร้อนกว่า 17 ล้านคนธนาคารโลกประเมินมูลค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
โดยดินแดนลึกเข้าไป ปี 2005 เสียหายมูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์ ถึงปี 2050 จะสูญเสียปีละ 52,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไทยจะมีส่วนร่วมกับความเสียหายขนาดหนักนี้
แม้ว่าการสร้างเขื่อนที่กั้นก้นอ่าวจะขยับแนวจากเมื่อ 10 ปีก่อนและงบฯก่อสร้างเพิ่มเป็น 500,000 ล้านบาท(ประเทินไว้เมื่อปี 2558) แต่ถ้าไม่ทำตอนนี้ กรุงเทพฯก็จะเป็นเมืองจมน้ำ
จะหวังพึ่งอุโมงก์สูบน้ำขนาดยักษ์ที่สร้างไว้ยุค ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯก็พึ่งไม่ได้ ดังที่ปรากฏ เพราะตัวอุโมงก์ทรุดตามแผ่นดิน สูบย้อนทแยงสูงขึ้นๆทุกที
ขณะที่พายุกระหนาบจากฝั่งทะเลจีนใต้กับอันดามัน ความเร็ว Jet Stream 300ก.ม./ชั่วโมง แรงขึ้น ถี่ขึ้น อยู่นานขึ้น อย่างปีนี้เริ่มตั้งแต่มีนาคมเป็นสัญญาณเตือนถึงสภาพสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกในฤดูฝน ที่ 4-5 ปีเกิดครั้ง แต่ต่อไปนี้ ปีเว้นปี อยู่กันแบบในหนังเรื่อง Water World กันเถอะเรา