หงายไพ่กันออกมา ก็จะเห็นได้ว่า หากวันนี้ "นายกรัฐมนตรี" ไม่ใช่ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้ว จะกลายเป็น "โอกาส" สำหรับ "แคนดิเดต" ที่มีอยู่ทันที! อย่าลืมว่า ทุกอย่างจะต้องเดินหน้าไปสู่กระบวนการในรัฐสภา นั่นคือการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ใช้กติกาเดิม ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญปี2560 และมาตรา 276 เปิดทางให้ "250ส.ว." สามารถร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในการเลือกนายกรัฐมนตรีจากแคนดิเดตในบัญชีเดิมที่เหลืออีก 5 คน ประกอบด้วย "เสี่ยหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย , ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ,ชัยเกษม นิติศิริ ,คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือหากไม่เลือกหนทางนี้ ต้องการทางเลือกใหม่ตามที่กลุ่มการเมืองภาคประชาชน เรียกร้องคือการได้มาซึ่ง "นายกฯคนนอก" เสนอทางเลือกใหม่ที่ไม่ใช่ "5แคนดิเดต" ที่มีอยู่เดิม อย่างนั้นหรือ ? แต่ดูเหมือนว่า ในระหว่างที่เสียงเรียกร้อง การโจมตี ไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยหวังว่าจะให้ "น่วม" จนอยู่ต่อไม่ได้ของ "ฝ่ายค้าน" ในสภาฯ ขนานไปกับ "ฝ่ายต้าน" นอกสภาฯ ยังไม่มี "พลัง" ที่มากพอต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างใด อย่างหนึ่งได้อย่างจริงจัง เพราะนอกจากพล.อ.ประยุทธ์ จะไม่สนใจเสียงโจมตีทั้งในสภาฯ บนท้องถนนแล้ว หรือแม้แต่ ท่าทีไม่พอใจจาก "พรรคร่วมรัฐบาล" ทั้ง "ภูมิใจไทย" และ "ประชาธิปัตย์" ที่ส่ง "มือดี" ลุกขึ้นถล่มพล.อ.ประยุทธ์ กลางสภาฯ ในวาระการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2565 ตั้งแต่วันแรก ที่เปิดประชุม จนกลายเป็นว่า นี่คือเวทีความขัดแย้งที่มี "ผู้เล่น" เพียง "3พรรคร่วมรัฐบาล"เท่านั้น โดยเฉพาะกลายเป็นสังเวียนที่ คนของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นซัดรัฐบาล จนบดบังความโดดเด่นของ "พรรคฝ่ายค้าน" ไปได้อย่างน่าประหลาดใจ การออกปาก ระบายความในใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการประชุมครม. เมื่อวันอังคารที่ 1มิ.ย.ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าจะตอกย้ำถึง "ปัญหาภายใน" ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ในลักษณะ "สามเส้า" ที่เกิดเป็น "ศึกใน" อย่างชัดเจนมากที่สุด "ขอให้ช่วยๆกัน ตรงไหนเกี่ยวข้องก็ให้ช่วยเร่งตอบ ปากก็ว่าโอเค แต่ปล่อยให้ลูกพรรคซัดโครมๆ" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุตอนหนึ่งในที่ประชุมครม.ถึงบรรยากาศการประชุมสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีประมาณ พ.ศ.2565 กรณีมีส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ที่อภิปรายวิพากษ์วิจารณ์การจัดทำงบประมาณ ทั้งนี้อาการไม่พอใจ ไม่สบอารมณ์จากส.ส. 2 พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ที่อาศัยชั้นเชิงการอภิปราย โหนเวทีสภาฯ ไล่ต้อนรัฐบาล โดยพุ่งเป้ามาที่พล.อ.ประยุทธ์ ครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่ ครั้งสุดท้าย เพราะอย่าลืมว่า ตลอดเส้นทางของการร่วมรัฐบาลที่ผ่านมา ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดปฏิกริยาในลักษณะที่เป็น "ลบ" ต่อกัน หากย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อครั้งที่ มีการนำพ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เมื่อกลางปี 2563 ที่ผ่านมา ก็มี ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ เคยออกฤทธิ์กันมาแล้ว แต่สุดท้ายเมื่อถึงวันโหวตลงคะแนน ทุกอย่างก็ผ่านฉลุย ดังนั้น ด้วยสถานการณ์ทางการเมือง และวิกฤตโควิดที่รุมเร้ารัฐบาลอยู่ในห้วงเวลานี้ อาจจะทำให้เกิด "ความขัดแย้ง" กินแหนงแคลงใจกันอยู่บ้างระหว่าง พรรคร่วมรัฐบาล แต่การลาออก ของพล.อ.ประยุทธ์ หรือการประกาศยุบสภาฯย่อมไม่ใช่ "ทางออก" ที่ดีต่อทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทยหรือประชาธิปัตย์เอง แต่หากเลือกกอดคอกันอยู่ไป แม้จะมีเหยียบเท้ากันบ้าง ในบางคราวก็ตามที แต่อย่างน้อยที่สุด การคงสถานะ "รัฐบาล" ก็ย่อมมากด้วยประโยชน์ทั้งปวง โดยไม่ต้องคิดคำนวณให้มากความ ไม่อย่างนั้น ทั้งประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย คงตัดสินใจ "สละเรือ" ไปนานแล้ว !