ทวี สุรฤทธิกุล
กราบถวายอาลัยด้วยหัวใจแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9
หลายท่านคงจะสังเกตเห็นว่า แม้เวลาจะล่วงเลยมาเป็นปีภายหลังการสวรรคตของพระเจ้าอยู่ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แต่สังคมไทยก็ไม่ได้ลดทอนความโศกาอาลัย ส่วนหนึ่งก็ด้วยความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกร อันมิอาจจะหาผู้ใดมาเทียมได้ และอีกส่วนหนึ่งก็ด้วยความจงรักภักดีที่พสกนิกรน้อมถวายเป็นพระราชกุศล ขอให้พระองค์ทรงสถิตย์ ณ สวรรคาลัย เสวยวิมุติสุขตราบนิรันดร์
บทความชุดนี้ก็เขียนขึ้นเพื่อกราบถวายอาลัยแด่พระองค์ท่านตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเมื่อปีก่อน กระทั่งผ่านมาได้ถึง 43 บทนี่แล้ว ซึ่งจะขอสรุปให้จบให้ได้ภายในเดือนนี้ เพื่อร่วมถวายเป็นพระราชกุศลส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยพร้อมกันกับคนไทยทุกคน และจะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
สาระสำคัญของบทความชุด “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ก็คือการอธิบายความหมายของระบอบการปกครองอันมีลักษณะ “พิเศษ” ที่มีอยู่จำเพาะในประเทศไทยนี้ ซึ่งเป็นความพิเศษที่เป็นคุณค่ายิ่งใหญ่แก่สังคมไทย ที่หลายคนมองว่าประเทศของเราอาจจะยังไม่ได้พัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย “แบบสากล” เท่าใดนัก แต่ประเทศไทยของเราก็อยู่รอดปลอดภัยและมีความเจริญรุ่งเรืองมิได้น้อยหน้าประเทศใด ทั้งนี้ก็ด้วย “พระบรมโพธิสมภาร” ที่พระมหากษัตริย์ทั้งหลายได้ทรงปกแผ่คุ้มครองประเทศของเรานี้ตลอดมา โดยมีความโดดเด่นยิ่งในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เพิ่งผ่านพ้นนั้น
เมื่อสัปดาห์ก่อนผู้เขียนได้สังเคราะห์ความเห็นไว้ว่า ความเป็นพระมหากษัตริย์ในแบบพิเศษ “จำเพาะ” ประเทศไทยที่มาเริ่มต้นในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่เป็นด้วย “พระปรีชา” หรือความสามารถของพระองค์ท่าน ใน 3 ประการ โดยในสัปดาห์ที่แล้วได้กล่าวถึงพระปรีชาในประการแรกคือ ทรงสืบทอดสายพระโลหิต “ความเป็นนักประชาธิปไตย” ในความหมายของการเป็นผู้ปกครองของอาณาประชาราษฎร์ทั้งมวล และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งหลายก็เพื่อประโยชน์สุขของปวงอาณาประชาราษฎร์นั้น ที่สืบเนื่องมาจากพระบูรพกษัตริย์ตั้งแต่กรุงสุโขทัยตลอดมาจนถึงพระบรมราชวงศ์จักรี
ในปัจจัยประการต่อมา เป็นพระปรีชาที่ทรงได้รับ “การอบรมกล่อมเกลา” มา ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทันสมัยทันโลกมาตั้งแต่แรก ดังที่เราอาจจะทราบมาแล้วว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงศึกษามาในสายวิทยาศาสตร์จนถึงระดับมหาวิทยาลัย แต่เมื่อสมเด็จพระเชษฐาสวรรคตและทรงต้องครองราชสมบัติสืบแทนก็ได้ทรงเปลี่ยนมาศึกษาในด้านนิติศาสตร์ อาจจะด้วยแนวคิดของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่โบราณที่วิชากฎหมายนั้นเป็น “พระราชศาสตร์” คือวิชาสำหรับพระราชาวิชาหนึ่ง
แต่ในความเห็นของผู้เขียนมองว่า พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 คือ “นักวิจัยพันธุ์แท้” โดยแท้ ทั้งนี้ผู้เขียนมองแยกเป็น 2 ด้าน หนึ่งก็คือ นักวิจัยในแนวสากล และสองก็คือ นักวิจัยในแนวพุทธ
ในแนวคิดสากล นักวิจัยนั้นคือผู้ทำหน้าที่ในการสร้างความรู้หรือค้นพบทฤษฎีต่างๆ ในศาสตร์แต่ละศาสตร์โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ที่เริ่มจากการสังเกต ตั้งคำถามแล้วสร้างเป็นสมมุติฐานเพื่อหาคำตอบ และเพื่อให้ได้คำตอบนั้นก็ต้องทำการทดลองที่อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร สุดท้ายคือการสรุปข้อค้นพบมาสร้างเป็นองค์ความรู้และทฤษฎีเพื่อให้เกิดการศึกษาและเรียนรู้ได้อีดให้กว้างขวาง ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะพระองค์ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์คือศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์มาก่อน ทำให้ท่าน “ซึมซับ” กระบวนการวิจัยในแนววิทยาศาสตร์อย่างฝังลึก ดังจะเห็นได้จากทรงสามารถค้นพบ “นวัตกรรม” และสร้างทฤษฎีต่างๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ฝนหลวง แกล้งดิน ไม้สามอย่างประโยชน์สี่อย่าง และเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น รวมถึงเวลาที่พระองค์ท่านเสด็จออกเยี่ยมเยียนราษฎรก็จะทรงสนทนาซักถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรอย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งนักวิจัยถือว่าการสนทนาอย่างลึกซึ้งนี้เป็น “เครื่องมือการวิจัย” ที่ดีมากๆ ที่เรียกว่า In-depth Interview อันนำมาซึ่งการค้นพบวิธีแก้ปัญหาของราษฎรที่เนื่องด้วยพระปรีชาในด้านการวิจัยนี่เอง
ส่วนในแนวคิดของศาสนาพุทธ ได้กล่าวถึง “ระดับของความรู้” ว่ามี 3 ระดับ คือ หนึ่ง “สุตามยปัญญา” หมายถึงความรู้ที่เกิดจาก “การฟัง” (สุตะ = ฟัง) สอง “จินตามยปัญญา” ความรู้ที่เกิดจาก “การคิด” (จินตะ = คิด) และสาม “ภาวนามยปัญญ” ความรู้ที่เกิดจาก “การกระทำ” (ภาวนา = การปฏิบัติหรือลงมือทำ) ซึ่งก็สามารถอธิบายได้เช่นเดียวกันว่า ทรงใช้การพัฒนาความรู้ไปตามลำดับขั้นทั้งสามนี้โดยตลอดในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งหลาย เริ่มจากทรงรับฟังทุกๆ คนที่มีข้อมูลให้ โดยเฉพาะการพูดคุยซักถามจากราษฎรหรือผู้รู้ต่างๆ แล้วทรงเอามา “ขบคิด” อันนำมาสู่การที่ทรงหาหนทางในการแก้ไขปัญหาด้วยการที่ทรงลมือทำหรือทรงแก้ไขด้วยพระองค์เองอย่างจริงจัง บางครั้งก็ทรงใช้เวลานานด้วยพระราชอุตสาหะที่ไม่ย่อท้อ
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุที่พระองค์ท่านทรงกระทำการใดก็มักจะประสบความสำเร็จเสมอก็ด้วยทรงมี “อิทธิบาท 4” คือ ฉันทะ – ความรักในสิ่งที่ทำ วิริยะ – ความอุตสาหะพยายาม จิตตะ – ความเอาใจใส่ทุ่มเท และ วิมังสา – การหมั่นตรวจสอบปรับปรุงแก้ไข ดังนี้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงเป็น “ปราชญ์แท้” เหนืออื่นใด “ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่” เพราะไม่เพียงแต่คิดได้หรือทำได้ แต่เป็นการคิดและทำเพื่อคนทั้งปวง ที่สำคัญนั้นไม่ได้ทรงคิดทรงกระทำแค่เพื่อคนไทย แต่เพื่อมนุษยชาติทั้งมวล
ขอจงสถิตย์ในดวงใจของผู้คนทั้งโลกตลอดไป