ด้วยท่าทีที่ดูเหนื่อยล้า บวกกับร่างกายที่ดูซูบผอมของ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโมงยามที่รับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ครึ่งหลังเดือนเมษายนเป็นต้นมา อาจทำให้ "ฝ่ายตรงข้าม" พอได้มองเห็นช่องทางที่ "กดดัน" ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลุกออกจากเก้าอี้ผู้นำรัฐบาลได้เสียที
แต่ดูเหมือนว่า จนถึงวันนี้ อาการเหนื่อยล้า และดวงตาที่เครียดอย่างเห็นได้ชัดก็ยังไม่ใช่ "คำตอบสุดท้าย" หรือสัญญาณอย่างใด อย่างหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออก !
ตลอดระยะสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำเนียบรัฐบาล ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรการป้องกันโควิด-19 จึงเป็นเหมือนผลพลอยได้ที่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องตอบคำถามในประเด็นทางการเมือง ที่รุมเร้าเขาอยู่ทุกวี่วัน ไปโดยปริยาย
ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด ไปจนถึงผู้ป่วย ผู้เสียชีวิต ในแต่ละวัน ยังอยู่ในจุดที่เป็นเส้นกร๊าฟที่พุ่งสูงขึ้น คือโจทย์ใหญ่สำหรับรัฐบาลว่าจะทำอย่างไรเพื่อกดเส้นกร๊าฟที่ว่านี้ให้ลดระดับลงมาได้เร็วที่สุด
การประชุมครม.เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นการประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเร้นท์ และมีรายงานความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ทั้งในทางการเมือง และการปรับโหมดทั้งการรับมือ และเดินหน้าเชิงรุกของรัฐบาล เพื่อสกัดให้การระบาดในประเทศไทย คุมอยู่ในรอบที่ 3
พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันกับรัฐมนตรีในที่ประชุมครม. ว่าจะไม่มีการประกาศล็อกดาวน์ อย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลจำเป็นต้องดูแลคนทำงาน และ ลูกจ้าง รวมทั้งยังมั่นใจว่าจุดที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่ดีดให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งทะยานมากขึ้นในแต่ละวัน มาจาก "คลัสเตอร์เรือนจำ" นั้นจะสามารถควบคุมได้ โดยวิธีการบับเบิล แอนด์ ซีล เนื่องจากในเรือนจำมีพื้นที่ที่ชัดเจน สามารถจำกัดพื้นที่ได้ แต่ขอให้ "กระทรวงยุติธรรม" กับ "กระทรวงสาธารณสุข" กลับไปประสานงานแก้ปัญหากันอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ยังเตือนให้รัฐมนตรีทุกคน เตรียมพร้อมสำหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณรายจ่าย 2565 ระหว่างในช่วงปลายเดือนนี้ แม้นายกฯจะยอมรับว่า "น่ากลัว" แต่เมื่อเป็นวาระการพิจารณางบประมาณ 2565 ก็ต้องเข้าประชุมสภาฯ
แผนการทำงานเชิงรุกของนายกฯประยุทธ์ เพื่อขับเคลื่อนการฉีดวัคซีนหลังจากที่ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ จากนี้ไปจะต้องเดินหน้าระดมฉีดแบบปูพรมให้กับประชาชน ผ่านทุกช่องทางที่ได้วางแผนเอาไว้ โดยเฉพาะเป้าหมายการกระจายฉีดวัคซีนให้ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง และเป็นพื้นที่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นจะต้องให้ได้5 ล้านคนในช่วง 2 เดือนจากนี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
เมื่อแผนบริหารจัดการ ถูกวางเอาไว้แล้ว ยังน่าสนใจว่าล่าสุดรัฐบาลยังได้มีการปรับทีมยุทธศาสตร์การสื่อสารทั้งในส่วนของศบค.เอง ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การแถลงข่าว สร้างความเข้าใจเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเข้มข้นด้วยปฏิบัติการ "กำจัดเฟกนิวส์" ภายใต้การทำงานของกระทรวงดีอีเอส โดย "ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์" เจ้ากระทรวง
โดยเฉพาะการเพิ่มความเข้มงวดในการติดตามตรวจสอบ ข่าวปลอม เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา รัฐบาลเองต้องสู้รบตบมือกับปัญหาเฟกนิวส์อย่างต่อเนื่อง โดยที่ทีมโฆษกรัฐบาลเอง ตลอดจน ทีมโฆษกกระทรวงที่เกี่ยวข้องไม่สามารถรับมือได้ไหว และทันท่วงที
ทั้งหลาย ทั้งปวง คือการส่งสัญญาณ ว่าจากนี้ไปไม่เพียงแต่พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินหน้าเท่านั้น แต่ยังมองไกลไปมากกว่านั้น นั่นคือรัฐบาลจะกลับมาทวงแต้มต่อ ให้ได้มากที่สุด รวดเร็วที่สุด ภายใต้เวลาและโอกาสที่ยังอำนวยให้อยู่ !