ข่าวที่องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศยกระดับให้เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์บี.1.617 หรือที่เรียกว่า สายพันธุ์อินเดีย เป็นสายพันธุ์ ที่เป็นปัญหาน่ากังวลระดับโลก ถือเป็นการยกระดับความน่ากลัวจากเดิมที่เป็นสายพันธุ์ ที่ต้องจับตา อ้างอิงจากผลการศึกษาขั้นต้นพบว่าโควิดชนิดกลายพันธุ์บี.1.617 แพร่ได้ง่าย กว่าสายพันธุ์อื่นๆ และยังต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติมอีกว่าเป็นสาเหตุให้ยอดผู้เสียชีวิตในอินเดีย พุ่งสูงอย่างรวดเร็วหรือไม่
ทั้งนี้ปัจจุบันโควิดสายพันธุ์จากอินเดียระบาดไปแล้วมากกว่า 30 ประเทศ มีระดับความน่ากลัวอยู่ระดับเดียวกับอีก 3 สายพันธุ์จากสหราชอาณาจักร แอฟริกาใต้ และบราซิล
นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สิ่งที่เรากังวล คือ การเข้ามาของสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์ตามแนวชายแดน เพราะช่วงเวลาเพียง 4 เดือน มีรายงานคนลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมายมากถึง 15,000 คน จำเป็นจะต้องเข้มงวดอย่างยิ่ง เส้นทางที่เชื้อไวรัสจากอินเดียจะเข้ามาในไทยได้นั้นจะผ่านปากีสถาน ผ่านเมียนมา ใช้เวลาไม่นาน หรือ ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็สามารถเดินทางมาถึงไทยได้ เพราะฉะนั้นตามแนวชายแดนจะต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น
ทั้งนี้ การติดเชื้อไวรัสจาก 1 คนไปอีก 1 คน จะมีโอกาสกลายพันธุ์อยู่แล้ว ยิ่งติดเชื้อมากโอกาสก็จะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ประเทศที่มีการติดเชื้อมากๆ ตัวเลขเป็นหลักหมื่นคนต่อวันมักจะเจอสายพันธุ์แบบนั้น แต่การจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ประเทศไทย ถ้าหากจำนวนผู้ติดเชื้อยังอยู่ราวๆ นี้ก็จะยังไม่เกิดขึ้น เราไม่อยากให้เกิดขึ้น เราไม่อยากรู้จักสายพันธุ์ไทยแลนด์แวเลียน (variant) หรือสายพันธุ์ไทย การกลายพันธุ์ไม่ได้ทำให้ไวรัสอ่อนกำลังลง เพราะการกลายพันธุ์แต่ละครั้งเพื่อให้ไวรัสมีชีวิตอยู่ต่อได้
ด้านนพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (โควิด-19) หรือ ศบค.กล่าวว่า ที่ประชุม ศบค.และ สธ.และคณะที่ปรึกษา ศบค. ให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังสายพันธุ์อินเดีย ต้องตรวจเป็นระยะ และกลุ่มสงสัยต้องได้รับการเข้ามาดูแล ข้าราชการคนไทยที่อยู่สถานทูตอินเดียที่กลับมาก็เป็นสิทธิของเขาที่จะกลับมาและมีการติดเชื้อ ก็เป็นโอกาสเข้าไปดูแลและทำให้ดีขึ้น ส่วนสายพันธุ์ต่างๆ ต้องรอการตรวจต่อไป ช่องทางปกติเราทำงานเต็มที่ แต่ช่องทางธรรมชาติวันหนึ่งตรวจจับได้จำนวนมาก อย่างกาญจนบุรี จับได้อีกหลายสิบคน
พลโท สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากการที่กองกำลังชายแดนกองทัพบกได้เฝ้าตรวจพื้นที่ชายแดนเพื่อป้องปรามการกระทำผิดกฎหมายและป้องกันโรค โดยในห้วงที่ผ่านมา ปรากฎมีความพยายามลักลอบเข้าไทยโดยผิดกฎหมายไม่ผ่านการคัดกรองและกองกำลังชายแดนตรวจสกัดจับได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ได้กำชับให้เฝ้าระวัง ตรวจสอบและควบคุมชายแดนในทุกช่องทาง ใช้มาตรการสูงสุดในการดำเนินการ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีแรงงานต่างด้าวใช้เป็นเส้นทางในการลักลอบมาเพื่อหางานทำในไทย โดยมีพื้นที่เพ่งเล็ง อาทิ ชายแดน จ.เชียงราย, จ.ตาก, จ.กาญจนบุรี, จ.ประจวบคีรีขันธ์, จ.สระแก้ว, จ.สงขลา และ จ.ระนอง
จะเห็นได้ว่า แม้ทุกฝ่ายจะพยายามป้องกันไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อินเดีย หรือสายพันธุ์กลายพันธุ์อื่นเข้ามาในประเทศไทยอย่างเข้มข้น แต่ก็ยังพบการลักลอบอยู่อย่างต่อเนื่อง นั่นปัจจัยหนึ่งมาจากความต้องการแรงงานต่างด้าวของผู้ประกอบการในประเทศทำให้ยอมเสี่ยงในประเด็นนี้ ดังนั้นต่อให้ตามอุดรูรั่วอย่างไร ก็ไม่มีวันสิ้นสุดหากไม่ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการช่วยกันตรวจตราและปฏิเสธแรงงานต่างด้าวที่นำเข้ามาอย่างผิดกฎหมายไม่ผ่านการตรวจคัดกรองโควิด