สถาพร ศรีสัจจัง
นโยบายสำคัญ(ที่สุด)ของรัฐบาลคสช.ภายใต้การนำของนายกฯลุงตู่ตอนนี้คงไม่มีอะไรเกินสิ่งที่เรียกว่า “ไทยยุค 4.0” เป็นแน่ ส่วนคำ “4.0” ที่ท่านนายกฯ ลุงตู่ผู้นำ “เรือแป๊ะ” พูดย้ำวันแล้ววันเล่าจะคืออะไรนั้น หลายใครที่ฟังเล้วฟังเล่าเพื่อพยายามหาข้อสรุปหรือ “คำนิยาม” ให้ชัดๆเป็นรูปธรรม ก็สรุปให้ฟังได้เพียงคล้ายๆกับว่า ก็คือสังคมทุนนิยมบริโภคแบบอุตสาหกรรมเต็มรูปที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตแทนแรงคนเป็นหลักใหญ่นั่นเอง
หรือเรียกให้ง่ายสุดก็คือสังคมเทคนิคแบบ “ดิจิตอล” เครื่องมือเอกของยุคทุนโลกาภิวัตน์นั่นหละเข้าใจไหม?
พร้อมๆกับการเน้นย้ำเรื่องนโยบายดังกล่าวทุกเมื่อเชื่อวัน ท่านนายกฯลุงตู่ก็แสดงทัศนะความเชื่อให้สังคมเห็นอย่างมั่นใจนักหนาว่า นโยบายดังกล่าวนี่แหละที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจาก “กับดักของความเป็นประเทศรายได้ปานกลาง” ที่ไทยดำรงมาอย่างยาวนานลงเสียที
ห้เหมือนกับประเทศเพื่อนบ้านทางใต้ใกล้จังหวัดชายแดนของเราที่ยังเกิดเรื่องเกิดปัญหาไม่สิ้นสุดอยู่ ที่บัดนี้ ทางเขาหลุดไปสู่การเป็นประเทศที่ประชาชนมีความมั่งคั่งแบบประเทศ “พัฒนาแล้ว” ทั้งหลายไปก่อนหน้าแล้ว ทั้งๆที่เมื่อสัก 30 ปีก่อนเขาแย่กว่าเราแทบทุกเรื่องเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีของไทยจึงต้องบังเกิดเหมือนที่เขาเคยเกิดเมื่อ 20 ปีก่อน!
หลังรัฐประหาร คสช.เพราะความวิกฤติชาติที่รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยไม่สามารถแก้ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติได้ และมีทีท่าว่าจะขยายการฆ่าฟันกันรุนแรงยิ่งขึ้น เป็นช่วงที่ฟังว่าเกิดความถดถอยในระบบเศรษฐกิจโลก รัฐบาล คสช.ภายใต้การนำของหัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่เด็กๆและคนไทยรู้จักกันภายหลังในนามน่ารักว่า “นายกฯลุงตู่” ก็ได้ใช้ข้ออ้างนี้มาอธิบายความถดถอยภายในประเทศเช่นกัน
หลังจากตัวเลขวัดความเจริญแบบทุนนิยมที่เรียกว่า “จีดีพี.” ตกวูบมา 2 ปี ช่วงปลายปีที่ 3 ของรัฐบาลคสช.ตัวเลขดังกล่าวก็ค่อยๆกระดกขึ้น การแปรผลเป็นไปแบบกลไกง่ายๆ คือสถานการเศรษฐกิจไทยดีขึ้นแล้ว!!
พร้อมนั้นก็มีหลายเสียงเช่นกัน ที่สวนเป็นคำถามขึ้นดังๆว่า สถานการเศรษฐกิจของใครกันละที่ว่าดีขึ้น? ของคนส่วนมากหรือคนกลุ่มน้อยกระจี้ดเดียว? ของคนจนหรือคนรวย? ของคนกรีดยางรับจ้างแบบบ่าวเคว็ดที่บ้านควนดินสอ เมืองพัทลุง คนหาของป่าขายอย่างนายสูจะชาวกะเหรี่ยงแห่งบ้านขุนห้วยต้นผึ้งเมืองเชียงราย คนทำนาอย่าบักสีพันแห่งทุ่งกุลาร้องให้ คนทำน้ำบูดูอย่างบาระเด็งแห่งเมืองสายบุรี นครปาตานี ฯลฯ
หรืออย่างคนที่ถือหุ้นใหญ่ของบริษัททุนธนาคารและทุนอุตสาหกรรมหรือทุนการพานิชย์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นคนต่างชาติและคนไทย ทั้งก๋ง เตี่ย ลูกหลาน สะไภ้ เขย ฯลฯของบรรดาชาวตระกูลมหาเศรษฐี ไม่กี่สิบกี่ร้อยตระกูลเหล่านั้น(คงไม่ต้องออกชื่อ หรือนายกฯลุงตู่ไม่รู้จัก?)
ที่รู้ๆก็คือ ตัวเลขของ จีดีพี.ที่ดีขึ้นดังกล่าว จนทำให้ภาพลักษณ์เศรษฐกิจประเทศดูเหมือน “ดีขึ้น” หรือเป็น “ขาขึ้น”ตามคำกล่าวของรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจคือ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตมือเศรษฐกิจคู่ใจของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้นิราศคนนั้น เป็นตัวเลขของคนกลุ่มน้อยที่เป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยจนหืดจะขึ้นคอกันอยู่แล้วทั้งสิ้น!
จีดีพี.เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นของเกษตรกรทั้งประเทศที่มีรวมกันแล้วไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศคือไม่น้อยกว่า 35 ล้านคน!
จึงอาจเรียกบรรดาเกษตกรของขาติเหล่านั้นได้ว่าคือคน “ชายขอบ” ของประเทศ!
แล้ว “สังคมไทยยุค 4.0” ตามความฝันของนายกฯลุงตู่ผู่น่ารักจะเกิดขึ้นโดย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และ “ไม่มีความเหลื่อมล้ำทางสังคม” ได้อย่างไรกันหนอน่าสงสัยและสงสารจัง!!!