สังคมประชาธิปไตยแท้จริงนั้น จะเกิดขึ้นได้ สังคมต้องมีพื้นฐานที่พร้อมรองรับ เรามักจะลืมไปว่า ระบอบประชาธิปไตยยังเป็นระบอบการปกครองของคนที่สามารถวินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวของตัวเองได้ ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองของคนที่เจริญแล้วในทางอาชีพและในทางเศรษฐกิจ มีผลประโยชน์ที่ต้องรักษา เพราะในระบอบประชาธิปไตยนั้น ประชาชนเป็นผู้วินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ของบ้านเมืองด้วยตัวของตัวเอง คนที่จะวินิจฉัยปัญหาด้วยตัวของตัวเองได้นั้น จะต้องเป็นคนที่มีการศึกษา
การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะตั้งมั่นอยู่ได้ดีในสังคมที่พลเมืองส่วนใหญ่มีฐานะทางเศรษฐกิจระดับชนชั้นกลาง และมีการศึกษาดี
ดังนั้นจะสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นในบ้านเมืองไทย ก็จำเป็นต้องวางรากฐานในด้านอาชีพของประชาชน การสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตยในบ้านเมืองของเราที่แล้วมานั้น ถ้าจะเปรียบไปก็เหมือนกับการสร้างเครื่องบนที่มีน้ำหนักมากลงบนตัวเรือนโดยไม่คำนึงว่าเสาอันบอบบางที่อยู่เบื้องล่างนั้นจะรับน้ำหนักนั้นได้หรือไม่
เมื่อเรามัวแต่ทำกันอย่างนี้แล้ว หลังคาก็ต้องพังทุกครั้งไป เพราะเสาต่าง ๆ ไม่สามารถจะทานน้ำหนักของเครื่องบนนั้นได้
เรามัวแต่คิดกันที่จะสร้างรัฐสภา กำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา และกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภากับรัฐบาล
เรามัวแต่คิดกันว่า ทำอย่างไรจึงจะควบคุมอำนาจของรัฐบาลได้ โดยที่ในขณะเดียวกันก็จะให้รัฐบาลนั้นมีเสถียรภาพตามควร ไม่ต้องล้มลุกคลุกคลาน
เรามัวเป็นห่วงกันว่า ทำอย่างไรจึงจะล้อมกรอบอำนาจทหารเอาไว้ให้อยู่ มิให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง
เรามัวแต่วิตกวิจารณ์กันอยู่ว่า ทำอย่างไรจะให้คนที่มีคุณวุฒิเข้าสมัครรับเลือกเป็นผู้แทน และทำอย่างไรจะให้ราษฎรเลือกเฉพาะผู้ที่มีคุณวุฒิและความเหมาะสมเข้ามาเป็นผู้แทนของตน แต่ตลอดเวลานั้นเรามิได้คำนึงกันมากนักว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นจะต้องตั้งอยู่บนรากฐานอันใดจึงจะยั่งยืนถาวรต่อไปได้
เรามองข้ามกันไปเสียว่า ประชาชนที่มีอาชีพอยู่ในระดับดีและมั่นคงเท่านั้น ที่จะมีเวลาและปัญญามาใช้ความคิดในทางการเมืองอันถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อตนเองในทางเศรษฐกิจ และการศึกษา เมื่อพลเมืองไทยมีรากฐานเหล่านั้นดีแล้ว ประชาธิปไตยก็เข้มแข็งเอง
การใช้สิทธิและหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตยนั้น จะต้องเริ่มตั้งแต่น้อยไปหาใหญ่ หมายความว่า ประชาชนจะต้องใช้หลักการแห่งประชาธิปไตยนั้นในการประกอบอาชีพหรือในการทำงานประจำวัน จนกระทั่งได้คุ้นเคยกับหลักการและวิธีการของประชาธิปไตยจนเป็นนิสัยสันดาน
มิใช่ว่าสามปีหรือสี่ปีครั้งก็เกณฑ์ให้มาแสดงบทบาทประชาธิปไตยกันเสียที
เรามักจะลืมกันเสียว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองของคนที่เจริญแล้วในทางอาชีพและในทางเศรษฐกิจ มีผลประโยชน์ที่ต้องรักษา คนที่ยังมีอาชีพไม่มั่นคง ยังขาดความปลอดภัยในทรัพย์สินที่หาได้ และยังไม่มีประโยชน์เป็นกอบกำที่ต้องรักษานั้น จะเลือกผู้แทนของตนเองให้ถูกต้องเหมาะสมอย่างไรได้ ?
เพราะวัตถุประสงค์ขั้นมูลฐานในการเลือกผู้แทนนั้น ก็เพื่อให้ผู้แทนเข้ามารักษาประโยชน์ของตน หรือของกลุ่มคนที่มีอาชีพอย่างเดียวกับตน
เมื่อการเลือกผู้แทนได้กระทำกันโดยขาดวัตถุประสงค์ขั้นมูลฐานดังนี้แล้ว ผู้แทนก็ไม่มีประโยชน์ของชนกลุ่มใดที่จะต้องรักษา ผู้แทนฯ ก็เลยเข้ามารักษาและแสวงหาประโยชน์ตน หนักเข้าก็ต้องฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งกันอีก