ทวี สุรฤทธิกุล ประการต่อมา การสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ได้สร้างกระแส “รักกษัตริย์” ไปทั้งประเทศ ทั้งในระดับผู้นำคือทหารและข้าราชการ ลงไปจนกระทั่งอาณาประชาราษฎร์คือคนไทยทั้งแผ่นดิน ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายว่า หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คนไทยเหมือนถูก “กด” ไว้ด้วยความหวาดหวั่น อันเนื่องมาจากไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะมีใครกล้าโค่นล้มสถาบันที่ยิ่งใหญ่มายาวนานอย่างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เริ่มต้นก็คือความหวาดหวั่นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์อาจจะสูญสิ้นไปจากแผ่นดินไทย เพราะในห้วงเวลานั้นมีข่าวร่ำลือถึงขั้นว่าคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองจะนำระบอบอื่นมาใช้แทนระบอบกษัตริย์ หรือถ้ามีกษัตริย์ก็จะมีสถานะไม่เหมือนเดิม คำว่า “พระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ” ดูเหมือนจะไม่เป็นที่เข้าใจหรือยอมรับได้ในหมู่คนไทย เพราะคำว่า “ใต้” ฟังดูเหมือนอยู่ในสถานะที่ “ต่ำ” ซึ่งบางคนที่คิดลึกซึ้งก็ตีความว่ารัฐธรรมนูญนั้นคือเครื่องมือของคณะราษฎรที่สร้างขึ้นมาเพื่อ “กดขี่” สถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เบื้องล่าง อันเป็นการไม่สมพระเกียรติยศ และเป็นนัยว่าอาจจะไม่มีความสำคัญอะไรต่อไปแล้วในทางการเมืองการปกครอง ยิ่งได้เห็นวิธีปฏิบัติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่าง “ไม่เรียบร้อย” ในช่วงที่คณะราษฎรมีอำนาจอยู่ก็ยิ่งทำให้คนไทยหวาดหวั่นว่าพระมหากษัตริย์คงจะถูกกำจัดอีกไม่นานต่อไป จนถึงการปฏิบัติการต่อพระบรมวงศานุวงศ์(ดังที่ผู้เขียนเล่ามาในหลายๆ ตอนก่อนหน้านี้)ก็ยิ่งทำให้คนทั้งหลาย “หวาดกลัว” ว่าภัยอันตรายคงจะมาถึงองค์พระมหากษัตริย์เข้าสักวัน และแล้วความหวาดกลัวของคนไทยนั้นก็เป็นจริงในเหตุการณ์วันสวรรคตเมื่อ 9 มิถุนายน 2490 นั้น ยิ่งทำให้สังคมไทยอยู่ในภาวะหดหู่อย่างที่สุด ทว่าด้วยเดชะพระบารมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ปกแผ่ซึมลึกอยู่ในจิตวิญญาณของคนไทยมาช้านาน การสวรรคตของรัชกาลที่ 8 จึงเป็นเหมือน “ไฟ” ที่ไปเผาหัวใจของคนไทยให้ลุกโชน ซึ่งไม่ใช่ไฟแห่งการทำลายล้าง แต่เป็น “ไฟแห่งพลัง” ที่โหมกระพือให้คนไทยแสดงความรู้สึกออกมาปกป้องสถาบันอันเป็นที่เคารพเทิดทูนยิ่งนี้ กลายเป็น “ไฟแห่งการกำเนิด” คือการพลิกฟื้นขึ้นมาใหม่ของ “ความรักกษัตริย์” โดยไม่หวั่นเกรงอำนาจกดขี่ใดๆ ที่ปกคลุมสังคมไทยมากว่า 15 ปีนั้น ในคราวที่พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่คือรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จนิวัติพระนครเพื่อเถลิงถวัลยราชสมบัติใน พ.ศ. 2493 หลังจากพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกฐ รัชกาลที่ 8 ในตอนต้นปีนั้น ภาพที่คนไทยที่เกิดอยู่ในยุคนั้นได้เห็นก็คือได้เห็นคนไทยออกมารับเสด็จอย่างมืดฟ้ามัวดิน หลายคนร่ำไห้ทั้งด้วยความอาลัยพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อน และด้วยความปิติที่ได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ เป็นภาพที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยตัวอักษรหรือคำพูดใดๆ ทั้งในความรู้สึกของ “ความรักอาลัย” และ “ความรักดีใจ” ที่แสดงออกทั้งภายนอกคือเลือดเนื้อร่างกาย กับภายในคือหัวใจกับอณูประสาท หนังสือพิมพ์สยามรัฐได้ก่อตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายน 2493 ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เขียนนวนิยายเรื่อง “สี่แผ่นดิน” ขึ้น ปรากฏว่าได้รับการต้อนรับจากผู้อ่านจนล้นหลามอย่างมหัศจรรย์ ซึ่งได้มีการวิเคราะห์เรื่องนี้ในหมู่นักวรรณคดีและนักประวัติศาสตร์ว่า เป็นการแสดงออกถึงความ “ถวิลหวัง” อันล้นเหลือของคนไทยที่มีต่อทั้งองค์และสถาบันพระมหากษัตริย์ ความถวิลหวังที่มีต่อองค์พระมหากษัตริย์ก็คือ คนไทยได้พบความสำเร็จในความหวังที่เคยขาดช่วงไปก่อนหน้านี้ ที่สังคมไทย “ว่างเว้น” พระมหากษัตริย์มาเป็นช่วงๆ แต่เมื่อได้เห็นการถวายเศวตฉัตรในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของรัชกาลที่ 9 ก็ทำให้คนไทยมีความสุขและหวังได้มากยิ่งขึ้นว่า บ้านเมืองเราจะสงบสุขร่มเย็น มีความมั่นคง อันส่งผลถึงความถวิลหวังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าจะมีความสืบเนื่องต่อไป เป็นหลักชัยให้กับบ่านเมือง และเป็นมิ่งขวัญให้แก่คนไทยไปอีกยาวนาน ประการสุดท้าย การสวรรคตของรัชกาลที่ 8 คือจุดสิ้นสุดของคณะราษฎร ดังที่ได้กล่าวมาเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าได้เกิดความขัดแย้งกันอย่างหนักในหมู่แกนนำของคณะราษฎร โดยแกนนำฝ่ายทหารสามารถกำจัดแกนนำฝ่ายพลเรือนออกไปพ้นอำนาจได้อย่างหมดสิ้น แต่กระนั้นวิบากกรรมของคระราษฎรก็ยังไม่หมดสิ้นและดูจะรุนแรงมากขึ้น นั่นก็คือความร้าวฉานในหมู่นายทหารด้วยกันเอง ดังสำนวนไทยที่กล่าวว่า “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” นั่นก็คือมีการแย่งชิงอำนาจกันในหมู่ทหาร ในกรณีของพลโทเผ่า ศรียานนท์ และพลโทสฤษ ธนะรัชต์ (ยศใน พ.ศ. 2494) แต่ว่าสองคนนี้ใช้ “บารมี” คนละอย่างกันในการสร้างฐานอำนาจ ซึ่งได้ส่งผลอย่างมหาศาลค่อการเมืองการปกครองไทยในยุคใหม่อันสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน นั่นก็คือการปกครองในรูปแบบที่เรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่กำลังจะเริ่มต้นภายใต้ร่มพระบารมีของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นี่เอง