แม้ทั่วโลกจะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ขนานต่างๆไปแล้วกว่าพ้นล้านโดส แต่ข่าวคราวเรื่องผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังการฉีด อาจทำให้ประชาชนบางส่วนลังเล ซึ่งอาจกระทบต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่และกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การฉีดวัคซีนไม่ว่าจะเป็นชนิดใดจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการสร้างภูมิต้านทานเพียงพอ วัตถุประสงค์หลักคือป้องกันการติดเชื้อแล้วมีอาการรุนแรง ปัญหาที่คนกังวลขณะนี้คือ ภาวะแทรกซ้อนหลังฉีด ดังนั้นเราต้องพิจารณาเปรียบเทียบประโยชน์และความเสี่ยง โดยความเสี่ยงเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีน (AEFI) แบ่งได้ 2 ชนิด คือ
1.อาการไม่พึงประสงค์ อาจเกิดจากตัววัคซีน หรือส่วนประกอบ หรือปฏิกิริยาร่างกายแต่ละบุคคลที่ต่างกัน เป็นอาการเฉพาะที่ (local) เช่น เจ็บ บวม บริเวณที่ฉีดใช้การประคบเย็น หรือบริหารแขน หรือเป็นทั้งระบบ (systemic) เช่น มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ แก้ไขโดยทานยาลดไข้ ทายาแก้ปวด พักผ่อน
2.อาการแพ้วัคซีน จะเหมือนคนแพ้อาหารทะเล ไรฝุ่น โปรตีนในนมวัวมีอาการตั้งแต่แพ้ไม่มาก มีผื่น จนถึงความดันตกรุนแรงได้
สำหรับอาการไม่พึงประสงค์ชนิดหนึ่งที่เป็นข่าวในขณะนี้ เรียกว่า ปฏิกิริยาเครียดสนองตอบต่อการฉีดวัคซีน (Immunization Related Stress Response : ISRR) เกิดจากการตอบสนองต่อความเครียดของแต่ละคนที่แตกต่างกัน เมื่อเกิดความตึงเครียดจะกระตุ้นระบบภายในร่างกาย หลั่งฮอร์โมนออกมากระตุ้นระบบประสาท ทำให้หลอดเลือดหดตัว เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม วิงเวียน ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ไม่ใช่การแกล้งทำ แต่เป็นปฏิกิริยาของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ปัจจุบันจึงมีข้อแนะนำเมื่อพบผู้ที่มีอาการทางระบบประสาทหลังการฉีดวัคซีน เช่น ชา อ่อนแรง ตามัว วิงเวียน อาเจียน แพทย์ ต้องตรวจ ประเมินอาการว่า เกิดจาก ISRR หรือเกิดจากปัญหาอื่น ๆ เช่น มีลิ่มเลือดในสมอง หรือมีเลือดออกเนื่องจากเกร็ดเลือดต่ำซึ่ง อาจเกิดได้ แต่พบน้อยมาก และยังไม่มีรายงานในประเทศไทย ซึ่งเรามีการสังเกตอาการ 30 นาทีหลังฉีดวัคซีน รวมทั้งแนะนำให้เตรียมตัวก่อนมารับการฉีด พักผ่อน ดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่เครียด
มีรายงานการศึกษาวิจัยวัคซีนซิโนแวคของประเทศบราซิล ในวารสารต่างประเทศ ออกมาเมื่อต้นเดือนเมษายน 2564 เปรียบเทียบระหว่างฉีดซิโนแวคกับใช้ยาหลอก พบว่า ปฏิกิริยาแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นแทบจะไม่ต่างกัน บางคนฉีดยาหลอกก็มีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน อ่อนแรง ส่วนอาการเฉพาะที่ผู้ฉีดวัคซีนมีอาการเจ็บเฉพาะที่มากกว่า รวมทั้งการวิจัยนี้ทำการศึกษาในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ประมาณ 12,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไป แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพขั้นต้นหลังการฉีดวัคซีน โดยผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนหลอกมีการติดเชื้อและมีอาการเพิ่มขึ้นชัดเจน ขณะที่คนที่ได้รับวัคซีนจริง มีประสิทธิภาพดี ลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้ร้อยละ 50.7 ผ่านเกณฑ์องค์การอนามัยโลก และยังป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการปานกลางต้องให้ออกซิเจน ได้เกือบร้อยละ 84 และลดอาการรุนแรง เข้า ICU และเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ จากงานวิจัยของ ศ. นพ. ยง ภู่วรวรรณ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาภูมิต้านทางหลังฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มในประเทศไทย เปรียบเทียบกับการติดเชื้อในธรรมชาติ พบว่า ระดับภูมิต้านทานหลังฉีดวัคซีนซิโนแวคเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับเดียวกับการติดเชื้อในธรรมชาติ จึงเป็นข้อมูลสนับสนุนให้เรามั่นใจได้ว่าวัคซีนที่ฉีดให้คนไทยกระตุ้นภูมิต้านทานได้ดีไม่แตกต่างจากข้อมูลในต่างประเทศ
ดังนั้น เราเห็นว่า ความหวังในการควบคุมการแพร่ระบาดให้คลี่คลาย และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงอยู่ที่วัคซีน การเร่งกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมและทั่วถึงจึงเป็นทางออกสำคัญ ขณะเดียวกันการให้ความรู้กับพี่น้องประชาชนในการเสริมภูมิคุ้มกัน และการรักษาตนเองเบื้องต้นตามอาการในภาวะฉุกเฉิน ก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน