แม้เสียงเรียกร้องให้ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ลาออกจากตำแหน่ง “ผู้นำรัฐบาล” จาก “ฝ่ายค้าน” ไปจนถึงประชาชนบางกลุ่ม บางฝ่าย อย่างกระหึ่มตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็ตาม แต่ที่สุดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล จะไม่ยอมถูกต้อนให้จนมุม ปล่อยสถานการณ์ให้เลยเถิดไปถึงขั้นนั้นอย่างแน่นอน !
ไม่ใช่แค่เพียงเพราะปฏิกริยาจาก “6พรรคฝ่ายค้าน” จะไม่มีความหมายสำหรับพล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะว่าหากรัฐบาลยังรบไม่ชนะ ปล่อยให้ “ไวรัสโควิด” เข้าโจมตีรัฐบาลเสียเองได้แล้ว โอกาสที่พล.อ.ประยุทธ์ จะได้กลับมาแก้ตัว แก้มือหลังจากนี้คงต้อง “ปิดฉาก” ลงไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้น “ทางถอย” สำหรับ รัฐบาลและตัวพล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่มี !
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าทุกอย่างจะต้องเดินหน้าไปต่อ อีกทั้งพล.อ.ประยุทธ์ ยังลงทุน “ยึดดาบ” ดึงทุกอำนาจในมือรัฐมนตรี กระทรวงต่างๆเข้ามากำกับดูแลเอาไว้ภายใต้คำสั่ง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 3) ให้บรรดาอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมาย หรือที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายหรือที่มีอยู่ตามกฎหมาย โอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว
เมื่อได้ดาบเอาไว้ในมือ บวกกับการประชุมร่วมกับเอกชนที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แล้วผุด “ทีมไทยแลนด์” ตั้งคณะทำงานร่วมกัน 4 คณะ ทั้งภาครัฐและหอการค้าไทย ขับเคลื่อนแผนการกระจายวัคซีน รวมถึงการปรับกฎหมายต่างๆ เพื่อจัดหาวัคซีนได้รวดเร็ว จากนี้ไปคือการติดตามผลในการทำงานตามแผนที่ได้ผ่าการหารือ ระหว่างรัฐบาลกับเอกชน ว่าจะสามารถแก้วิกฤตไวรัสโควิด ได้ตามแผนหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ในระหว่างที่การเดินหน้าคลี่คลายวิกฤตโควิด ของรัฐบาลที่จำเป็นต้อง “ปรับโหมด” และ “เพิ่มสปีด” ในการบริหารจัดการเรื่องไวรัสโควิดอยู่นั้น ปรากฎว่าความเคลื่อนไหวทางการเมือง ระหว่าง “พรรคร่วมรัฐบาล” กลับดำเนินไปในทิศทางที่ไม่สู้ดีนัก !
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความบาดหมางระหว่าง “พรรคประชาธิปัตย์” ที่มี “จุรินทร์ ลักษณวิศิฎฐ์” รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค กับ “พรรคพลังประชารัฐ” พรรคแกนนำรัฐบาล
แม้ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จะ “สั่งถอย”มอบหมายให้ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี นำเรื่องคำสั่งแบ่งงานรัฐมนตรีในครม.ที่ลงไปคุมตามรายจังหวัด หลังจากที่คนในพรรคประชาธิปัตย์ ต่างออกมาฟาดงวง ฟาดงา ด้วยไม่พอใจ คำสั่งแบ่งงานดังกล่าว กลับกลายเป็นการ “เปิดทาง”ให้ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ในฐานะ “มือทำงาน” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้โอกาสลงไปคุมจังหวัดในภาคใต้
เมื่อประชาธิปัตย์ออกอาการ “ไม่พอใจ” ชนิดที่ว่าไม่เลิกไม่รา จึงกลายเป็น “สัญญาณ” ที่ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร ต้องเงี่ยหูฟัง ไม่อาจ “ดึงดัน” เปิดเกม “ยึดภาคใต้” เตรียมพร้อมเมื่อการเลือกตั้งครั้งหน้ามาถึง
ไม่เช่นนั้นแล้วจากความบาดหมางระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่บัดนี้คือ “พรรคร่วมรัฐบาลอันดับสาม” ยังไม่ควรเกิดขึ้นมากดดันพล.อ.ประวิตร จนทำให้กระทบไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องเร่ง “ปิดจุดอ่อน” พลิกสถานการณ์ให้กับรัฐบาล เร่งคลี่คลายวิกฤตโควิดให้ลุล่วงโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นแล้วจะพากันพังไปพร้อมกันเสียทั้งหมด !