การเปิดศึกหลายด้าน ย่อมไม่ใช่วิถีที่ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ เมื่อ “ผู้นำรัฐบาล” และ “พรรคแกนนำรัฐบาล” ดูจะไม่อยู่ในฐานะที่เป็นฝ่ายถือ “แต้มต่อ” ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ต้องเร่งจัดการ คือการ “ปิดเกม” ทุกความขัดแย้ง ให้จบเร็วที่สุด ! การที่ “6 พรรคฝ่ายค้าน” ออกแถลงการณ์จี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่ง เพราะบริหารงานล้มเหลวผิดพลาด โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรง ลุกลามมาถึงการระบาดรอบที่ 3 ทั้งที่ รอบแรกและรอบสอง รัฐบาล “สอบผ่าน” ได้รับเสียงชื่นชม ทว่าการออกแอคชั่นของพรรคฝ่ายค้าน ต้องยอมรับว่า ยังไม่รุนแรงหนักหน่วง มากเท่ากับความขัดแย้งที่คุกรุ่นอยู่ภายในพรรคร่วมรัฐบาล ที่ต่างตั้งท่า ประดาบกันเอง เมื่อวาระการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด กลายเป็น “ประเด็นร้อน” ที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ “ฉุนขาด” ออกปากคาดโทษ “รัฐมนตรี” ในครม.ที่แอบนินทาตนเอง ระวังจะโดนยึดโควต้ารัฐมนตรีคืน จากนั้นนายกฯ ยังยึดอำนาจการบริหารจัดการเรื่องโควิด เอามาสั่งการในลักษณะขึ้นตรงกับตนเอง โดยไม่ต้องผ่าน “รัฐมนตรี” กระทรวงใดๆที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโควิด โดยให้เหตุผลว่าเพื่อความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนการสั่งการ พรรคพลังประชารัฐ หันมาเปิดศึกกับ พรรคภูมิใจไทยกันอย่างเข้มข้น ! เมื่อส.ส.พรรคภูมิใจไทย ออกมาปกป้อง อนุทิน หัวหน้าพรรค ในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หลังจากที่โดนถล่มอย่างหนัก เมื่อพบว่ามีผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ ไม่สามารถเข้าถึง การรักษาตามโรงพยาบาล ได้อย่างทันท่วงที จนทำให้ อนุทิน ถูก “กลุ่มหมอไม่ทน” ล่าชื่อจี้ให้ลาออกจากตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข แถมยังกลายเป็นว่า รัฐมนตรี ที่แอบนินทา นายกฯ นั้นจะใช่อนุทิน หรือไม่ เพราะเรื่องการแก้ไขปัญหาโควิด ก็เห็นมีแต่นายกฯ กับอนุทิน ที่ทำงานร่วมกันเป็นหลัก แต่ทั้งนี้อนุทิน ได้ออกมาปฏิเสธแล้วว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ยังรักและเคารพนายกฯ เช่นเดิม ไม่เคยนินทาใด ๆ อย่างไรก็ดี ปัญหาความขัดแย้งจากเรื่องด่วนว่าด้วยการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด หากจากนี้ไป เมื่อแผนการบริหารจัดการได้ถูกปรับโหมด แล้ว “สัมฤทธิ์ผล” ปัญหาผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยไม่มีการตกค้างอยู่ที่บ้าน และได้รับเข้าการรักษาตัว เพื่อลดความสูญเสีย แผนการฉีดวัคซีนดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตามไทม์ไลน์ที่รัฐบาลวางเอาไว้ แน่นอนว่าระบบสาธารณสุข จะกลับมาแข็งแกร่งเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งรัฐบาลรับมือกับการระบาดรอบแรก และนั่นย่อมหมายความว่า ความขัดแย้งระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับภูมิใจไทย จะเริ่มปรับเข้าสู่โหมดของการออมชอม เข้าใจกันมากขึ้น เพราะอย่าลืมว่า ด้วยสถานการณ์อันยากลำบากของรัฐบาลในการรับมือกับไวรัสโควิดระลอกที่ 3 นั้นไม่ธรรมดา แต่หากผ่านพ้นไปได้ ผลออกมาในทางที่เป็นบวกในห้วงเดือนพ.ค.นี้ หมายความว่าความจำเป็นที่จะต้องใช้ “การเมือง” เข้ามาวุ่นวายกับการบริหารจัดการของ “ฝ่ายบริหาร” จะกลายเป็น “เรื่องรอง” และเรื่องเล็กลงไปทันที รวมถึงเสียงเรียกร้องจากพรรคฝ่ายค้านเองที่จะหายไป พร้อมๆกับการเปลี่ยนโหมดบนกระดานการเล่นครั้งใหม่ ที่รัฐบาล จะมุ่งเน้นไปที่การบริหาร จัดการ ปิดจุดอ่อนของตัวเองให้ได้เร็วที่สุด มากที่สุด เพราะไม่เช่นนั้น รัฐบาลเองก็คงอยู่ยาก พรรคร่วมรัฐบาล ก็ “บีบไม่เลิก” !