หลังจากที่ปล่อยให้ ความเงียบสงัดทำงานไปพักใหญ่ เมื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) พลิกสถานการณ์กลับมา “ตั้งหลัก” ได้แล้ว การเปิดเกมบุกจึงเปิดฉากขึ้น ! การประชุมครม. เมื่อวันที่ 27เม.ย.ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าความเคลื่อนไหวตลอดทั้งวันที่เกิดขึ้น ยังไม่ใช่ “จุดพีค” มากเท่ากับ ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบต่อ ร่างประกาศ เรื่องการกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 3) ให้บรรดาอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมาย หรือที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายหรือที่มีอยู่ตามกฎหมายโอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว เฉพาะ ในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุญาต อนุมัติ สั่งการ บังคับบัญชา หรือช่วยในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม ระงับยับยั้งในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือฟื้นฟู ช่วยเหลือประชาชน จำนวน 31 ฉบับ ภายใต้หัวใจหลักที่ว่า “เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด -19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” หมายความว่านี่คือการ “กระชับพื้นที่ จากนายกรัฐมนตรี ดึงอำนาจจาก “รัฐมนตรี” ที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาไว้ทั้งหมด เพื่อให้ทุกการบริหารจัดการดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ก่อนที่สถานการณ์จะรุนแรง และหนักหนา ลุกลามจนไปถึงการระบาดรอบที่ 4 ! แน่นอนว่า การตัดสินใจกระชับพื้นที่รัฐมนตรี ครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมมองข้ามช็อต ชนิดที่เรียกว่า “เลยธง”จากประเด็นทางการเมืองไปเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่เช่นนั้น พล.อ.ประยุทธ์ คงรีรอ ในท่ามกลางที่ “พรรคร่วมรัฐบาล” ต่างเปิดศึกซัดกันเอง ให้วุ่นวายไปหมด อย่าลืมว่า ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นกับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไม่สู้ดีนัก เพราะไม่ใช่แค่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานจากพี่น้องประชาชน ต่อการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขเพื่อรองรับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อโควิดให้ทันต่อการรักษาเท่านั้น แต่ปรากฎว่าอนุทิน เจ้ากระทรวงหมอเองยังถูก “กลุ่มหมอไม่ทน” เคลื่อนไหวล่าชื่อผ่านเวบไซต์เพื่อจี้ให้เขาแสดงความรับผิดชอบด้วยการ “ลาออก” จนลูกพรรคภูมิใจไทยต้องออกมาปกป้อง ว่าที่ผ่านมาอนุทินทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดนั้น หากยังปล่อยให้ลุกลามยืดเยื้อ และรอให้ถึงขั้นที่รัฐบาลต้อง “ใช้ยาแรง” ไม่ว่าจะเป็นการล็อคดาวน์ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องเจอกับแรงเสียดทานจากความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่มีรายได้น้อย ดังนั้น การเลือกกระชับอำนาจรัฐมนตรี ด้วยการดึงภาระกิจเร่งด่วน มาไว้ในมือพล.อ.ประยุทธ์ ในกฎหมายทั้ง 31 ฉบับเช่นนี้ ทางหนึ่งเพื่อลดแรงกระแทกจากรอบนอก ที่ดูเหมือนนายกฯประเมินแล้วว่า หากโควิดยังโจมตีประเทศไทยไม่หยุด ความขัดแย้งทางการเมือง ก็จะเป็นเรื่อง เล็กน้อยไปทันที อย่าลืมว่ารอบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ แพ้ไม่ได้ เพราะหากรัฐบาลรับมือ และหยุดยั้งการระบาดในรอบที่ 3นี้เอาไว้ได้ เรื่องการเมืองทั้งในและนอกรัฐบาล จะกลายเป็นเรื่อง “ขี้ผง” ไปทันที ทันใด !