แสงไทย เค้าภูไทย
ข่าวการเข้ามาฝังตัวของกลุ่มมุสลิมสุดโต่งไอซิสในย่านอาเซียน ทำให้การยอมรับโรฮิงยาอพยพเข้าพักพิงเป็นเรื่องยุ่งยากและลังเล เพราะระแวงกันว่าจะมีกลุ่มไอซิสแฝงตัวเข้ามาเสริมกำลังมุสลิมก่อการร้ายในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซียและไทย
ชาวโรฮิงยาได้ชื่อว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกกระทำย่ำยีหนักที่สุดในโลกในทศวรรษที่ผ่านมา
ชาวเชื้อสายโรฮิงยาในอาเซียนขณะนี้มรประมาณ 1.2 ล้านคน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ของเมียนมาร์ซึ่งป็นรัฐทางตะวันตกเฉียงใต้ติดกับบังกลเทศ
แม้เมียนมาร์จะเป็นชาติที่มีชนชาติ เชื้อชาติที่เป็นชนกลุ่มน้อยอยู่ถึง 135 ชนชาติ แต่นับแต่ปี พ.ศ.2525 เป็นต้นมาไม่มีชนชาติไหนที่รัฐบาลเมียนมาร์ปฏิเสธไม่ให้สัญชาติเท่ากับโรฮิงยา
นั่นคือโรฮิงยาอยู่ในพม่าในฐานะ “ไร้รัฐ (stateless)”
ทำไมชาวพม่าเกลียดชังโรฮิงยานัก ?
ย้อนไป 100 ปี ช่วงอังกฤษปกครองพม่า (พ.ศ. 2369-2491) พม่าถูกชาวอินเดียและชาวบังกลาเทศอพยพเข้ามามาก เหตุจากอังกฤษถือว่าพม่าเป็นมณฑลหนึ่งของอินเดีย
การอพยพเข้ามาหรือไปจากพม่าในดินแดน 3 ประเทศหลังแยกตัวเป็นเอกราชจึงเป็นเพียงการย้ายถิ่นภายในประเทศเท่านั้น
เมื่อเป็นอกราชในปี 2491 พม่าออกกฎหมายสัญชาติเพื่อกำหนดว่า ชนลุ่มน้อยชาติใดจะได้รับสัญชาติพม่าบ้าง
ช่วงแรกๆชาวโรฮิงยาได้รับการยอมรับให้เป็นชนชาวพม่า ชาวโรฮิงยาหลายคนได้เป็นสมาชิกรัฐสภา
แต่เมื่อนายพลเนวินทำรัฐประหารปี 2505 ชาวโรฮิงยาถูกถอนสัญชาติพม่า ซ้ำยังถูกจำกัดให้อยู่อาศัยในพม่าได้ไม่เกิน 2 ชั่วอายุคนเท่านั้น ซึ่งตามปกติ ชาวต่างด้าวที่มาอยู่อาศัยในพม่าเกิน 2 ชั่วอายุคนแล้ว จะไดรับสัญชาติพม่าโดยอัตโนมัติ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ รัฐบาลทหารพม่า เกลียดชังชาวโรฮิงยามาก เนื่องจากชาวโรฮิงยา เคยเป็นกำลังพลส่วนใหญ่ที่เข้มแข็งโหดเหี้ยมในกองทัพอังกฤษที่ยกเข้ามารบกับพม่าจนพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
นอกจากนี้ ชาวโรฮิงยายังอยู่อาศัยกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน มีภาษาพูดเป็นของตนเองเรียกว่า Ruainggaนับถือมุสลิมเคร่งครัด
ปี 2491 รัฐบาลพม่ายกเลิกการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ หันมาใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการแทน
แต่เมื่อให้ชาวโรฮิงยามาแสดงตนเป็นชาวพม่าด้วยการให้พูดให้เขียนเป็นภาษาพม่า โดยเฉพาะให้บ่งบอกตัวเองว่าเป็นชาวอะไร ก็ยังบอกเป็นภาษาพม่าไม่ได้
รัฐบาลพม่าจึงจึงตีความว่าชาวโรฮิงยาไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยพม่าเหมือนชาติพันธุ์อื่นๆ และถือเป็นชาวเบงกาลี เพราะส่วนใหญ่อพยพมาจากแคว้นเบงกอลของบังกลาเทศ
การที่โรฮิงยามักจะมีการกระทบกระทั่งกับชาวพุทธ ที่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติของพม่า เป็นประจำ ทำให้ชาวพม่ามองเห็นเป็นศัตรูที่ต้องกำจัดให้พ้นดินแดนพม่า
ช่วงที่มีการปะทะกันระหว่างชนเคร่งศาสนาทั้งสองในทศวรรษ 1970 (พ.ศ. 2523--2525 ) ชาวโรฮิงยาอพยพเข้าไปในบังกลาเทศ มาไทยและมาเลเซียมาก
บังกลาเทศไม่ค่อยยอมรับโรฮิงยา เพราะแถบที่อยู่ของชาวไทยอาหมที่นับถือพุทธศาสนา
ชาวโรฮิงยาเคยบุกรุกและเผาวัด เผาศาสนสถานและพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก ไม่ต่างกับการกระทำกับวัดพุทธ ชาวพุทธพม่า
ในช่วงที่กองทหารพม่าเข้าปราบปรามระงับเหตุ องค์กรสิทธิมนุษยชนรายงานว่าชาวโรฮิงยาถูกทำร้าย ทรมาน ข่มขืนโดยกองกำลังทหารมาก
ชาวโรฮิงยาจึงตั้งกองกำลังป้องกันตนเองอย่างลับๆ จะด้วยการสนับสนุนหรือแทรกแซงจากขบวนการก่อการร้ายมุสลิมนอกประเทศ หรือพวกที่แตกทัพมาจากรัฐอิสลาม (ISIS) ที่ถูกปราบปรามอย่างหนัก เนื่องจากยึดครองดินแดนซีเรียคร่อมดินแดนอีรัก จึงถูกรุมกระหนาบจนแตกหนี
ชาวมุสลิมนับแสนๆคนส่วนหนึ่งอพยพข้ามไปยุโรป ส่วนหนึ่งกระจัดกระจายลงมาย่านเอเชียอาคเณย์
เฉพาะย่านอาเซียนนั้น ฟิลิปปินส์มีกลุ่มติดอาวุธอาซิสลักลอบเข้ามามากที่สุด รองลงมาคืออินโดนีเซีย
ส่วนไทยมีรายงานจากกระแสข่าวต่างประเทศว่ามีพวกไอซิสแฝงเข้ามาอยู่ในกลุ่มก่อความไม่สงบภาคใต้ แต่ไม่ได้รับการยืนยันจากทางการไทย
สำหรับการอพยพของชาวโรฮิงยาขณะนี้ เป็นผลพวงจากการที่ฐานที่ตั้งกองกำลังทหารเมียนมาร์ถูกลอบโจมตีเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
จนเมื่อเดือนตุลาคม ตำรวจตระเวนชายแดนเมียนมาร์ 9 คน ถูกลอบสังหารในเขตที่ชาวโรฮิงยาตั้งถิ่นฐานอยู่ ทางการเมียนมาร์จึงส่งกองกำลังมาปราบอย่างเด็ดขาด
ทางการเมียนมาร์แถลงว่า ทหารเมียนมาร์ได้สังหารกองกำลังติดอาวุธกองทัพอาระกันโรฮิงยา ( Arakan Rohingya Salvation Army -ARSA) กว่า 100 ศพ แต่ชาวบ้านและนักเคลื่อนไหวกล่าวว่า ทหารเมียนมาร์ ยิงปืนเข้าใส่ชาวโรฮิงยาอย่างไม่เลือกหน้า
ชาวโรฮิงยากว่า 400,000 คนพยายามอพยพเข้าบังกลาเทศ แต่ถูกผลักดันกลับ บางส่วนถูกกักกันอยู่ในแคมป์ผู้ลี้ภัย
ทำไมมีใครอยากรับโรฮิงยา ไปอยู่ด้วย ?
เหตุผลคือชาวโรฮิงยืนยันว่าตนเป็นชนชาติสืบเชื้อสายมากชาวอาหรับหลายชั่วอายุคน
แต่เมียนมาร์ยืนยันว่าพวกเขาอพยพมาจากแคว้นเบงกอลและเรียกว่าเบงกาลีคือชาวเบงกอล
เมื่อยืนยันว่าเป็นชาวอาหรับ ไม่ใช่ชาวเบงกาลี บังกลาเทศก็เลยไม่ยอมรับ พวกที่อพยพเข้าไป เคยถูกส่งไปอยู่เกาะกันดารก็มี
สื่อมวลชนและองค์กรมนุษยธรรมนานาชาติเรียกร้องให้นางอ่องซาน ซูจี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเมียนมาร์หรือที่จริงคือผู้นำรัฐบาลเมียนมาร์ตัวจริงที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาโรฮิงยาด้วยความมีมนุษยธรรม
แต่เธอปฏิเสธ ว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงภายในที่ทหารเมียนมาร์ทำหน้าที่ของพวกเขา
การตั้งกองกำลังป้องกันตนเอ
ARSA ของชาวโรฮิงยา เป็นจุดอ่อนสำคัญที่รัฐบาลเมียนมาร์หยิบยกมาเป็นข้ออ้างในการกำจัดโรฮิงยาออกจากแผ่นดินเมียนมาร์
สำหรับชาวอาเซียน ใน 10 ประเทศ ต่างก็สงวนท่าทีไม่ยอมพูดเรื่องในประเทศของเพื่อนๆ 10 ประเทศกันและกัน
โดยเฉพาะมาเลเซียที่เป็นประเทศถัดจากไทยที่ขบวนเรืออพยพโรฮิงยาไปขึ้นฝั่งและเคยมีชาวมาเลเซียเดินขบวนในกัวลาลัมเปอร์เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือผู้ลี้ภัยโรฮิงยาในฐานะชาวมุสลิมด้วยกัน
แต่นายนาจิ๊บ อับดุล ราซัค นายกรัฐมนตรีทำเฉยเมย และสงวนท่าทีว่า ไม่ต้องการยุ่งเรื่องกิจการภายในของเมียนมาร์
สำหรับไทย มีชาวโรฮิงยาอพยพเข้ามาราว 5,000 คน แต่อยู่ในฐานะส่งต่อไปประเทศที่ 3
ชาวโรฮิงยาในแคมป์ผู้อพยพของไทยเคยก่อเหตุวุ่นวายหลายครั้ง โดยพยายามหนีออกมาจากแคมป์และเรียกร้องต่างๆนานา
การเรียกร้องและกระทำการเกินความเป็นผู้อพยพลี้ภัยนี่กระมังที่ทำให้ชาวโรฮิงยาไม่เป็นที่ปรารถนาของนานาชาติอาเซียน