สมบัติ ภู่กาญจน์
โดยยึดนิยามความหมายว่า ‘พุทธะ’ เป็นภาษามคธหรือบาลีที่แปลว่า ‘ผู้รู้’หรือ ‘ผู้ตื่น’วันนี้ ผมจึงจะนำมุมมองของ ‘ผู้รู้’ท่านเดิม คือม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อีกชิ้นหนึ่งมาให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณา
พิจารณา ว่า ‘ความรู้’ของผู้ที่รู้จริง หรืออย่างน้อยก็รู้มากกว่าคนอื่นอีกหลายๆคน ในเนื้อหาหรือปรัชญาของศาสนาพุทธ จะมองโลกที่เต็มไปด้วยปัญหา(ซึ่งไม่ต่างจากความหมายของคำว่า ‘ทุกข์’ในพุทธศาสนา) หรือความบ้าต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้ ได้ด้วยสายตาเช่นใด?
มุมมองนี้ มีอยู่ในข้อเขียนยุคปลายปีพ.ศ.2515 – ก่อนที่บ้านเมืองไทยจะเกิดการปฏิวัติประชาชนในปี 2516 ก่อนหน้าแฟชั่นสังคมนิยมในหมู่ปัญญาชนจะฟูเฟื่อง(พ.ศ.2517-19) แล้วก็เฟล(Fail)ฟุบ(พ.ศ.2520-21) จนเกิดอำนาจนิยมขึ้นมาเป็นโรดแมปประชาธิปไตย จากไม่ถึงใบเป็นครึ่งใบและเต็มใบ(พ.ศ.2521-34) แล้วก็ฟัดกันคอรัปชั่นกัน จนประชาธิปไตยหายไปอีก อำนาจนิยมกลับมานำทางใหม่ ระหว่างนั้นแต่ละฝ่ายก็โทษโน่นโทษนี่กันไปสารพัดอย่าง ยกเว้นตัวเอง(หลังพ.ศ.2535 จนถึงทุกวันนี้) – ข้อเขียนชิ้นนี้ อาจารย์คึกฤทธิ์เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2515 ด้วยข้อความดังต่อไปนี้
คนเราที่เป็นเจ้าถ้อยหมอความนั้น ถ้าไม่มีความจะว่า หรือไม่มีคดีจะสู้ ก็มักจะหาความ ให้เกิดขึ้นได้เสมอ (คำขึ้นต้นนี้ เหมือนจะแสลงหู นักต่อฯ..เอ๊ย.หมอความ ไปสักหน่อย แต่ขอให้อดทนฟังกันต่อไป .....ความในวงเล็บที่จะมีไปเรื่อยๆนี้ ผมขออนุญาตเพิ่มเสริมขึ้นมาเอง เพื่อความรู้เท่าทันหรือความชัดเจนในการอ่านให้มีมากขึ้นครับ)
สำนักข่าว เอ.พี.รายงานจากกรุงยะรูซาเลมว่า มีหมอความชาติอิสราเอลนายหนึ่ง ชื่อนายอิซฮาค เดวิด ได้ยื่นคำร้องต่อศาลสูงสุดของอิสราเอล ขอให้ตัดสินว่าพระเยซูมิได้ทรงรับการพิจารณาคดีด้วยความยุติธรรม และอ้างว่าพวกโรมันซึ่งครองประเทศอิสราเอลอยู่ในขณะนั้น ได้เป็นผู้จัดการให้มีการพิจารณาคดีนั้นเกิดขึ้น
เหตุเกิดเมื่อ 1,900 กว่าปีมาแล้ว (ซึ่งนับมาถึงวันนี้ เวลาก็เพิ่มขึ้นเป็นสองพันกว่าปี แต่ข่าวแบบนี้ยังมีลีลาว่าจะทันสมัยในสื่อใหม่วัยใหม่ในขณะนี้ขึ้นได้อีก ถ้าจะมีใครขยันเขียนแล้วเกิดโดนใจนักไลค์ขึ้นมา)
พระเยซูได้ทรงถูกจับกุมพระองค์ไปในข้อหาว่า ทรงประกาศพระองค์เป็นลูกพระเจ้า และเป็นพระเมสซาย ซึ่งมีคำพยากรณ์ของชาวอิสราเอลว่าจะมาเป็นผู้ปลดแอกชาวอิสราเอลให้พ้นจากความเป็นทาสของพวกโรมัน
หลังจากที่ได้จับกุมพระองค์ไปแล้ว ปอนติอุส ปิลาตุส ผู้ว่าราชการโรมันซึ่งครองอิสราเอลอยู่ในขณะนั้น ได้ซักถามพระองค์เพียงไม่กี่ข้อ แล้วก็ล้างมือจากคดี ประกาศให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินโทษพระเยซู ประชาชนซึ่งไปชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้น ก็โห่ร้องให้เอาพระเยซูไปตรึงไม้กางเขนเสียในสมัยโบราณ ฝรั่งที่นับถือศาสนาคริสต์ เคยเกลียดชังพวกยิวมาก โดยอ้างว่าเป็นพวกที่ตรึงไม้กางเขนพระเยซูผู้เป็นศาสดาของเขา
นายเดวิดอ้างว่า เหตุที่เขายื่นคำร้องนี้ขึ้นมา ก็ด้วยความหวังว่า จะทำให้ความเกลียดชังชาวยิวนั้นลดน้อยลงไปได้ในโลก แม้ว่าจะมีคนเกลียดยิวน้อยลงไปเพียงคนเดียว ก็จะดีกว่าไม่มี
เมื่อวันศุกร์ที่แล้วมานี้ ศาลสูงสุดอิสราเอลได้ออกนั่งบัลลังก์ แล้วตัดสินว่า เรื่องที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขึ้นมานั้น เป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์มิใช่เรื่องของกฎหมาย (โปรดสังเกตุว่าศาลโลกก็ใช้เหตุผลนี้กับเรื่องของข้อพิพาทจีนฟิลิปปินส์ เรื่องทะเลจีนใต้ ในปีค.ศ.2016)
ศาลได้กล่าวด้วยว่า นายเดวิดผู้ร้องนั้นมิได้พิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้ได้รับความเสียหายอย่างใด จากกรณีที่เขาเรียกว่าพระเยซูทรงมิได้รับความยุติธรรม ศาลได้ถามนายเดวิดผู้ร้องว่า เหตุใดเขาจึงเห็นว่าศาลสูงสุดแห่งอิสราเอลจะต้องเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดในเรื่องนี้
นายเดวิดตอบศาลว่า เพราะศาลนี้เป็นศาลแห่งชาติยิวศาลแรก ที่ได้ตั้งขึ้น นับตั้งแต่เวลาที่พระเยซูยังดำรงพระชนม์อยู่ มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น ศาลก็ยังชี้ขาดลงมาอีกอย่างหนึ่งว่า
ผู้ที่ได้ตัดสินลงโทษพระเยชูนั้นเป็นชาวโรมัน เพราะฉะนั้นนายเดวิดควรจะไปยื่นคำร้องต่อศาลในประเทศอิตาลี นายเดวิดนั้น จะนับถือศาสนาใดไม่ปรากฏในข่าว แต่ก็เห็นจะสรุปได้ว่า นายเดวิดเป็นคนอยากดังคนหนึ่ง ซึ่งได้ดังแล้วสมความปรารถนา เพราะมีข่าวเรื่องนายเดวิดปรากฏออกไปทั่วโลกไม่ปรากฏว่า มีใครมาจับนายเดวิดไปเข้าตะราง เพราะเหตุที่ได้ยื่นคำร้องเรื่องนี้ มิฉะนั้น นายเดวิดอาจจะดังขึ้นไปอีกก็ได้
อย่างไรก็ตาม ตามความเชื่อถือของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์นั้น พระเยซูคือพระเจ้าที่เสด็จมาปรากฏพระองค์ในรูปกายของมนุษย์ และทรงได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัสยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งปวง เพื่อทรงถ่ายบาปของมนุษย์ หรืออีกนัยหนึ่ง พระเยซูทรงรับบาปของมนุษย์ที่ได้ทำกันไว้ หมักหมมมาเป็นเวลาช้านานและจะได้ทำกันต่อไป หากพระเยซูมิได้ทรงรับบาปของมนุษย์ทั้งปวงด้วยพระมหากรุณาดังนี้แล้ว มนุษย์ทั้งปวงก็จะสิ้นหวัง ไม่มีทางจะรอดพ้นจากบาปกรรมทั้งหลายได้ ผมเองแม้จะไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ แต่มีความประทับใจในคติความเชื่อถือนี้เสียจริงๆ
เหตุที่ประทับใจมาก ก็เพราะทำให้นึกอยู่เสมอว่า บาปกรรมของคนเราแต่ละคนนั้น ถึงแม้ว่าจะตกอยู่แก่ตัวเราเอง แต่ก็ยังตกแก่ผู้อื่นได้ หรือตกอยู่แก่มนุษยชาติทั้งปวงได้ ที่สำคัญที่สุดและน่ากลัวที่สุดก็คือบาปกรรมของเราที่ได้ทำไว้นั้น อาจไปตกแก่ผู้ที่บริสุทธิ์จากบาปเข้าก็ได้ เช่นพระเยซูเป็นต้น ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ผมกลัวบาป....................ฯลฯ
ข้อเขียนนี้ยังไม่จบนะครับ แต่มีปัญหาเรื่องพื้นที่ ที่ต้องขอให้ผู้อ่านโปรดติดตามตอนจบกันต่อไป ในมุมมองของคนที่รู้จริง เข้าใจจริงในหลักของพุทธศาสนา เราสามารถจะมองโลก ที่เต็มไปด้วยเรื่องดีเรื่องบ้าสารพัด(ซึ่งเรื่องประเภทหลังสามารถเผยแพร่ได้ง่ายด้วยสื่อยุคใหม่)ได้ด้วยสายตาที่ไม่สร้างปัญหาให้แก่ใคร ไม่ลบหลู่ใครและไม่เกิดความขัดแย้ง ช่วยกันเรียนรู้ หรือทำความรู้จักมุมมองเหล่านี้กันไว้ให้มากๆดีไหมครับ ความกลัวบาปของพุทธศาสนิกชนจะช่วยสร้างสรรอะไรได้บ้าง คอยติดตามกันในสัปดาห์ครับ