เมื่อการแก้รัฐธรรมนูญ  กำลังวนกลับมาเป็น "เกมการเมือง" เปิดสังเวียนรอบใหม่สำหรับ "พรรคร่วมรัฐบาล" จับจองพื้นที่เล่น มากกว่า "ฝ่ายค้าน"  โดยเฉพาะในจังหวะที่ พรรคร่วมรัฐบาล ต่างมองเห็น "โอกาส" ที่จะหาทางต่อกรกับ "3ป." ที่ส่ง "พรรคพลังประชารัฐ" เข้ามาบริหารจัดการเกม     ยิ่งเมื่อ พรรคพลังประชารัฐ โดย "มือกฎหมาย" อย่าง "ไพบูลย์ นิติตะวัน" ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  ออกมายืนยันว่าพรรคจะไม่มีการทบทวนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็นที่เสนอไม่แตะอำนาจ ส.ว. แม้ว่าจะ "สวนทาง" กับแนวทางของ 3 พรรคร่วมรัฐบาลก็ตาม พร้อมทั้งย้ำว่า จะเดินหน้ายื่นญัตติในการประชุมร่วมรัฐสภา  7 เม.ย.นี้     การออกมาเคลื่อนไหวของ ไพบูลย์ในเรื่องของการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญในนามพรรคพลังประรัฐ สร้างความฮือฮามาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อมีการเปิดเผยรายละเอียด เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นรายมาตรา ทั้งสิ้น 5 มาตรา 13ประเด็น     ทั้งนี้สาระหลักๆในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ พรรคพลังประชารัฐที่ถูกจับตาคือ การเสนอให้กลับไปใช้ระบบการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ หมายความว่าเป็นการเสนอแก้ไขระบบเลือกตั้งจากจัดสรรปันส่วนผสม ไปเป็นการเลือกตั้งระบบปกติเหมือนรัฐธรรมนูญ ปี 2540     ส่วนประเด็นเรื่องการตัดอำนาจ ส.ว. โดยเฉพาะ ยกเลิกส.ว.สรรหา หรืออำนาจการเลือกนายกฯ พลังประชารัฐ จะไม่เข้าไปแตะ โดยให้เหตุผลว่า "หากไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ทำให้เกิดความขัดแย้ง และไม่สามารถแก้ไขได้สำเร็จ"     การเสนอร่างแก้ไขฯ ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าไพบูลย์ รับหน้าที่เป็นเสมือน "หนังหน้าไฟ" ที่ถูกฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประกาศว่าพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นแกนนำในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  ส่งผลให้เกิดกระแสกดดันลามไปถึง "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าแท้จริงแล้วรัฐบาล มีความจริงใจหรือไม่ ?     เมื่อพรรคพลังประชารัฐ ส่งสัญญาณ "ออกอาวุธหนัก" ว่าประเด็นใดที่เสนอแก้ไข และเรื่องใดที่จะไม่มีการแตะ ยิ่งทำให้พรรคร่วมรัฐบาล ไม่อาจอดรนทนอยู่นิ่งเฉยได้ !     ล่าสุด น่าสนใจว่า พรรคประชาธิปัตย์ เสนอร่างแก้ไขด้วยกัน 6 ประเด็น โดยเฉพาะการเสนอการแก้ไขมาตรา 272 กำหนดให้ส.ว.มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี รวมทั้งการแก้ไขมาตรา 88 และมาตราเกี่ยวกับการส่งบัญชีรายชื่อ  3 นายกรัฐมนตรี     โดยพรรคประชาธิปัตย์ เสนอแก้ไขว่า  หากนายกฯที่อยู่ในบัญชี 3 คนนั้น ไม่สามารถที่จะเสนอได้ ก็ให้สภาเสนอชื่อ "ส.ส." เป็นนายกรัฐมนตรีได้พร้อมทั้งให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นการยึดโยงให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากประชาชน      น่าสนใจว่าข้อเสนอจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ชงให้เสนอชื่อส.ส.ขึ้นมาเป็นนายกฯได้ เท่ากับเป็นการเปิดทางเลือกให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นได้มีโอกาสเข้ามาจับจอง "เก้าอี้นายกฯ"  แทนที่พลังประชารัฐ จะจองที่นั่งเอาไว้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการโหวตจาก "250 ส.ว" ล็อคเก้าอี้ หัวหน้ารัฐบาลเป็นภาค3 อย่างง่ายดาย ตามแผนเดิมอีกต่อไป !