“ไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย” คืออีเว้นท์ทางการเมืองที่มี “จตุพร พรหมพันธุ์” ประธานแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (นปช.) พาตัวเองออกมาเป็นแกนนำจัดงานร่วมกับคณะกรรมการญาติวีรชน เมื่อวันที่ 4 เม.ย.64 ที่ผ่านมา ที่สวนสันติพร ถนนราชดำเนิน กลับไม่สามารถกลายเป็นม็อบเบิ้มๆ ได้ตามที่ประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะได้ผู้คนพากันมาร่วมกิจกรรมชนิดที่เรียกว่า “มืดฟ้ามัวดิน” นับจากวันที่ จตุพร ออกตัวสุดแรง ว่าจะเปิดปฏิบัติการขับไล่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็เกิดคำถามตามมาว่า “อะไร” คือสิ่งที่ทำให้แกนนำคนเสื้อแดง ที่เคยสร้างประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมือง ด้วยการพาพี่น้องคนเสื้อแดงออกมากดดันรัฐบาลสมัยนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรง ก่อนที่จะมีการสลายการชุมนุมในปี 2553 ต้องออกมาเคลื่อนไหวในพ.ศ.นี้อีกรอบ จากเหตุผลที่จตุพร จั่วหัวปลุกเร้าประชาชนเอาไว้ก่อนหน้านี้นานกว่าหลายสัปดาห์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือ “ปัญหาของประเทศ” หากบ้านเมืองยังมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็น “นายกฯ” อยู่ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารบ้านเมือง ไปจนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ ที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง เพราะอย่าลืมว่า การออกมาเคลื่อนไหวของจตุพร นั้นมีขึ้นในห้วงเวลาเดียวกันกับ “ม็อบราษฎร” ที่นำหน้าโดยแกนนำเยาวชน คนรุ่นใหม่ นิสิต นักศึกษา กำลังกลายเป็นเส้นกราฟที่ดิ่งลง จากที่เคยเปรี้ยงปร้างดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้ทั้งในและต่างประเทศ ให้จับตาการชุมนุมที่นำโดยเยาวชน คนรุ่นใหม่ ใช้รูปแบบแฟลชม็อบ สร้างความโกลาหลให้กับ “ฝ่ายความมั่นคง” มาตั้งแต่กลางปี 2563 ที่ผ่านมา แต่เมื่อวันนี้ กระแสของม็อบราษฎร มีอันต้องแผ่วลงไป ทั้งด้วยปริมาณมวลชนที่ลดน้อยลง ประกอบกับ “แกนนำม็อบ” ล้วนถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ กันถ้วนหน้า จนต้องผลักดัน แกนนำระดับแถวสาม แถวสี่ขึ้นมานำมวลชนแทน ก็กลับมี “แกนนำคนเสื้อแดง” อย่าง จตุพร พาตัวเองออกจากที่ตั้ง ขออาสาขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ทว่าทำไป ทำมา กลายเป็นว่าการชุมนุมของมวลชนในนาม “สามัคคีประชาชน” กลับไม่หวือหวาเท่าราคาคุย สิ่งที่เกิดขึ้นคือการนัดหมายมาร่วมชุมนุมทำกิจกรรมของคนเสื้อแดง คล้ายอีเว้นท์ทางการเมืองเท่านั้น มิหนำซ้ำ ยังกลายเป็นว่าตัวจตุพร ยังถูกกระแสตีกลับ จาก “ฝ่ายตรงข้าม” ที่ล้วนแล้วแต่เป็น “คนคุ้นเคย”กันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นแกนนำคนเสื้อแดงในภาคใต้ หรือแม้แต่สายอีสานเอง รวมถึงยังมี “แรมโบ้อีสาน” เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี รับบทมือปราบจตุพร ตั้งป้อมออกข่าวถล่มอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังไปหยิบเอาเรื่องราวในอดีตและวาทะกรรมที่ว่าด้วย “สู้แล้วรวย” และ “พาคนไปตาย” ในการชุมนุมคนเสื้อแดง ปี 2553 ตอกย้ำ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในวันวาน การออกมานำหน้ามวลชนคนเสื้อแดงของจตุพร ครั้งนี้ย่อมไม่สามารถสั่นคลอนเก้าอี้นายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ ลงได้ก็ตาม ซึ่งเชื่อว่าข้อนี้จตุพรเองก็รับรู้และเข้าใจได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่น่าสนใจ จากอีเว้นท์ทางการเมืองในนาม “สามัคคีประชาชน” คือการส่งสัญญาณให้ รัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เห็นว่าเส้นทางสายนี้ไม่มีอะไรราบรื่น และราบเรียบ ไม่มี “ผู้คน” ที่คิดต่อต้านพล.อ.ประยุทธ์ รวมไปถึง “พี่น้อง 2ป.” หากคิดว่าจะวางเกมการเล่น ชนิดอยู่ยาวไปถึง “ภาค 3” ในอำนาจฝ่ายบริหาร !