ความพยายามของ "ม็อบราษฎร" ที่เคลื่อนไหวชุมนุม ในระยะหลังๆนอกจากจะเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การระดมมวลชนขึ้นมากดดัน รัฐบาลของ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วย "เชิงปริมาณ" นั้นอาจไม่ใช่เรื่องยากเย็น หากแต่ไม่สามารถพัฒนาไปสู่จุดหมายแห่งชัยชนะให้ลุล่วงได้ แน่นอนว่าฝ่ายที่คุมเกมอยู่เบื้องหลังแกนนำเยาวชนเองก็ย่อมประเมินสถานการณ์ได้ออกไม่ว่าจะเป็น "นักการเมือง" หรือ "กลุ่มนักวิชาการ" ที่จำเป็นต้องทยอยเปิดหน้าออกมาในช่วงเดือนที่ผ่านมา
เพราะวันนี้แกนนำแถวหนึ่ง แถวสองล้วนถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้ม็อบราษฎรแทบหมดตัวเล่น อีกทั้งอย่าลืมว่า นอกเหนือไปจากปัญหาการบริหารจัดการภายในม็อบที่ประกอบด้วยหลายกลุ่ม หลาย ก๊วน ยังพากันขัดแย้งกันเองด้วยเรื่องเงินบริจาค หากปล่อยให้การชุมนุมดำเนินต่อไปในลักษณะเช่นนี้ อีกไม่นานจะเกิดภาวะ "ม็อบฝ่อ" ตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย หมายความว่า การปลุกมวลชนให้ออกมาขับไล่รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ยืดเยื้อมายาวนานตั้งแต่ปี2563 แต่ดูเหมือนว่านอกจากพล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ลาออกแล้วยังมีแนวโน้มว่า จะอยู่ยาวด้วยซ้ำ นอกจากนี้ทุกข้อเรียกร้อง ยังไม่มีเรื่องไหนที่เข้าใกล้ความเป็นจริง มิหนำซ้ำข้อเรียกร้องให้ยกเลิก "มาตรา112" ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหากจะพบว่า ในช่วงหลัง แกนนำและโซเชียลแนวร่วมม็อบราษฎรจะพากัน "โหนกระแส" เกาะเกี่ยวไปกับเหตุการณ์การเมืองในประเทศเมียนมา ที่บัดนี้มีการใช้ความรุนแรง เข้าปราบกลุ่มผู้ประท้วง จนมีประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ด้วยหวังว่า หากเกิดความรุนแรง มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ และเกิดการสูญเสียชีวิตผู้คนเหมือนกับที่เมียนมา จะทำให้รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ที่มาจากคสช. เป็นภาคต่อของบิ๊กทหารต้องเจอกับแรงเสียดทานจนถึงขั้น "อยู่ไม่ได้" ! ทว่า ความต้องการของกุนซือที่หลบอยู่หลังม็อบราษฎร จะไม่เป็นผลตามที่คาดหวัง เพราะฝ่ายความมั่นคงทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่เดินไปตามเกมที่พร้อมจะใช้ความรุนแรง เข้าปะทะ จนทำให้ผู้คนในสังคมที่ไม่เอาด้วยกับม็อบราษฎร พากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหตุใดรัฐบาล จึงปล่อยให้ผู้ชุมนุมสร้างความเดือดร้อน ทำลายทรัพย์สินของทางการครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อกุนซือม็อบราษฎร หวังที่จะใช้ "เมียนมาโมเดล" เพื่อบีบรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคง แต่ดูเหมือนว่าแผนการเล่นดังกล่าวนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เล่นด้วย ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เกิดขึ้น จึงออกมาในลักษณะที่เรียกว่า "ชุมนุมไป ตามจับไป" ไม่มีการล้อมปราบ หรือใช้กำลังทหารออกมา หากแต่ให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใช้อำนาจหน้าที่ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ และพ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ ขณะเดียวกันได้ใช้วิธี "ตัดกำลัง" ล็อคแกนนำหลักๆด้วยการใช้บังคับใช้กฎหมาย ทั้งเบาและหนัก ตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 กระทำการจาบจ้วง สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยบริบทและข้อแตกต่างสถานการณ์ในประเทศไทยกับเมียนมา จึงทำให้การเกิดความรุนแรงถึงขั้นสูญเสียเหมือนในประเทศเมียนมา จึงเกิดขึ้นได้ยาก!