ดูเหมือนสงครามเย็นจะเผยตัวอย่างแจ่มชัด เมื่อชาติสมาชิกของสหภาพยุโรป หรืออียู ทั้ง 27 ประเทศ เปิดฉากคว่ำบาตรต่อทางการจีน รัสเซีย และเมียนมา โดยอ้างเหตุผลว่าประเทศเหล่านี้มีพฤติกรรมละเมิดสิทธิมนุษยชน ในช่วงที่ผ่านมา เริ่มจากพี่ใหญ่อย่างจีนนั้น โดนข้อหากรณีที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ ชนกลุ่มน้อยในเขตปกครองตนเองมณฑลซินเจียง ส่วนรัสเซียนั้น เกิดจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวเชเชน ในแคว้นเชชเนีย รวมถึงกรณีการคุมขังนายอเล็กซี นาวาลนี ผู้นำฝ่ายค้าน ขณะที่เมียนมา ก็กำลังคุกรุ่นจากกรณีที่กรณีกองทัพ ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงการทำรัฐประหารจนมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและถูกจับกุมเป็นจำนวนมาก โดยเมียนมานั้น ถูกทางอียูคว่ำบาตรด้วยการยึดทรัพย์ และยกเลิกหนังสือเดินทาง ของเหล่าผู้นำกองทัพ นำโดย พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย และนายทหารคนอื่นๆ รวม 11 นาย ขณะที่ทางการสหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์มาตรการคว่ำบาตรผู้บัญชาการตำรวจเมียนมา ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษ และนายทหารระดับสูงอีก 2 นาย อ้างว่าตำรวจเมียนมามีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม และยังคว่ำบาตรกับหน่วยงานของกองทัพอีก 2 แห่งด้วย อย่างไรก็ตาม ทางการจีนตอบโต้ทันควันด้วยการที่รัฐมนตรีช่วยกระทรวงต่างประเทศ เรียกตัวนายนิโคลัส ชาปุยส์ ทูตอียู ประจำประเทศจีนเข้าพบ เพื่อประท้วงต่อการที่อียูประกาศคว่ำบาตรจีนในครั้งนี้อย่างร้อนแรง โดยชี้ว่าการคว่ำบาตรของ อียูอยู่บนพื้นฐานของการโกหกและข้อมูลที่ผิดๆ เกี่ยวกับซินเจียง ไม่สอดรับกับข้อเท็จจริง กฎหมาย และเหตุผล พร้อมเรียกร้องให้ยอมรับความผิด หาทางแก้ไขและยุติการเผชิญหน้า เพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางอุณหภูมิโลกที่ร้อนระอุเดือด ประเทศไทยอยู่ท่ามกลางเขาควาย ก็มาเกิดประเด็นร้อน ที่เหมือนจะชี้เป้าให้แสงสปอตไลต์จับจ้องมาที่ไทย เมื่อมีข่าวกองข้าวสาร 700 กระสอบที่อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ที่อ้างว่าเชื่อมโยงต่อหน่วยงานทางการทหารของไทยสนับสนุนกองทัพเมียนมา ที่กำลังปราบปรามประชาชนผู้ต่อต้านการรัฐประหาร เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวยืนยันว่า ไม่ใช่การช่วยเหลือทางทหารและไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องการค้าขายที่สั่งซื้อสินค้าจากไทยไปเมียนมาตามปกติ ที่ไทยไม่ต้องการให้เข้ามาซื้อขายภายในประเทศ เพราะมีประชาชนเมียนมาที่อยู่ตามสันเขาหรือตามชุมชนต่างๆ 100 กว่าจุด ซึ่งเป็นมานานเป็น 10 ปี จึงต้องสร้างความเข้าใจ เรามองเห็นสัญญาณอันตรายบางอย่างจากข่าวนี้ ที่ฝ่ายความมั่นคงและทางการไทยไม่อาจนิ่งเฉย ทั้งบทบาทของฝ่ายความมั่นคง และวิเทโศบายทางการทูต ต้องตัดไฟแต่ต้นลม