เมื่อการชุมนุมของมวลชนเครือข่ายม็อบราษฎร ในชื่อ “กลุ่ม REDEM” เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มี.ค.ที่ถนนราชดำเนิน ที่ผ่านมาเกิดการปะทะกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งผลให้เกิดความเสียหาย ต่อทรัพย์สินทางราชการ ในหลายจุดเมื่อมีการรื้อทำลายต้นไม้ของกทม. ไปจนถึงมีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนและฝ่ายผู้ชุมนุม ขณะที่มีผู้ชุมนุมถูกจับกุมกว่า 20 ราย “ หลังจากที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ตำรวจจับผู้กระทำผิดได้ 20 คน ส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันชุมนุมโดยผิดกฎหมาย ความผิดตามพระราชกำหนดฉุกเฉินฯ และความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมโรค รวมทั้งข้อหาสมคบกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความไม่สงบให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองโดยใช้อาวุธและกำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรค 1 และ วรรค 2 และความผิดฐานต่อสู้ ขัดขวางและทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 และมาตรา 140 นอกจากนี้ตำรวจยังจับผู้ที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และยังอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลผู้ที่เข้าข่ายกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพิ่มเติมอีกหลายคน” ส่วนหนึ่งจากการแถลงข่าวของ “พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย” รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รองผบช.น.) ในฐานะโฆษก บช.น. แถลงชี้แจงเกี่ยวกับเหตุการณ์ความวุ่นวายในการชุมนุมเมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา เหตุการณ์การชุมนุมจนไปสู่การเข้ากระชับพื้นที่ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนินใน หน้าศาลฎีกา ในช่วงค่ำ ได้ขยายวงออกไปในหลายพื้นที่โดยรอบ ทั้งที่สะพานวันชาติ หรือ ที่สี่แยกคอกวัว ไม่เพียงแต่จะทำให้ทั้งพรรคฝ่ายค้านไปจนถึงองค์กรสิทธิมนุษยชน ที่อยู่ในประเทศไทยต่างออกมาประณามการกระทำของฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่างดุเดือดเท่านั้น หากแต่ในความเป็นจริงอีกด้านหนึ่ง ต้องยอมรับว่ายังมีผู้คนในสังคมจำนวนไม่น้อยที่มองแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยถึงขั้นเรียกร้องให้ใช้ “กฎหมายแรง” เท่าที่มีอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเด็ดขาด ! แน่นอนว่านอกเหนือไปจากการเผชิญหน้าระหว่าง เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน กับผู้ชุมนุมในค่ำคืนของวันที่ 21 มี.ค.นั้น ยังทำให้ เกิดคำถามและแรงกระเพื่อมไปยัง “ทุกคน” ที่อยู่เบื้องหลังของการชุมนุมว่าควรจะมีส่วนรับผิดชอบ หรือ ถูกกฎหมายดำเนินการด้วยหรือไม่ ! การพุ่งเป้าโฟกัสไปยัง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า ,ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่ไปรวมชุมนุมกับม็อบรีเดม นั้นเหมาะสมหรืออยู่ในฐานะอะไร และสมควรที่จะ “พ้นตำแหน่ง”ด้วยหรือไม่ ? สถานการณ์การชุมนุมจากนี้ไป ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยง ทั้งต่อตัวผู้ชุมนุมเองที่ไม่รู้ว่า “ใครเป็นใคร” ใครคือหนอนบ่อนไส้ที่ “ขายข่าว” ให้กับฝ่ายตรงข้าม หรือใครคือ “มือที่สาม” ที่คอยดักทำร้ายผู้ชุมนุม แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นจากนี้ไป คือโอกาสที่ แกนนำคณะก้าวหน้า ไปจนถึงส.ส.ของพรรคก้าวไกล หลายต่อหลายคนที่มาร่วมชุมนุม จะถูกบีบให้กลายเป็น “เนื้อเดียวกัน” กับม็อบราษฎรอย่างเต็มรูปแบบ เพราะหากเป็นเช่นนั้นด้วย “หลักฐาน” ชัดแจ้งมากเท่าใด โอกาสที่จะถูกกฎหมายเข้าดำเนินการยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ขณะที่แกนนำเยาวชนระดับ “แม่เหล็ก” ล้วนแล้วแต่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ โดยที่ยังไม่ได้รับการประกันตัว และเมื่อการชุมนุมครั้งนี้ 21 มี.ค.ยิ่งทำให้การชุมนุมต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำ แต่ยังทำให้เกิดช่องโหว่ ง่ายต่อการเข้าแทรกแซง หากแต่เวลานี้ดูเหมือนว่า การชุมนุมที่กำลังถูกกระชับพื้นที่จากฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีขึ้นไปพร้อมๆกับการกระชับวง บีบนักการเมือง พรรคการเมือง ไปจนถึง นักวิชาการที่อยู่เบื้องหลังผู้ชุมนุม ด้วยข้อกฎหมาย ภายใต้ยุทธวิธีทางการเมือง จนอาจกลายเป็น “กับดัก” กินรวบทั้งกระดาน!