รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ประกาศจะสั่งซื้อวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มอีก 100 ล้านโดส ซึ่งจะทำให้สหรัฐมีวัคซีนยอดสั่งซื้อัคซีนรวมทั้งสิ้น 800 ล้านโดส และจะมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพียงพอฉีดให้กับประชาชนวัยผู้ใหญ่ได้ทุกคนในเดือนพฤษภาคมปีนี้ เร็วกว่ากำหนดเดิมที่คาดการณ์ไว้ในเดือนกรกฎาคม ขณะที่ไฟเขียวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยสภาคองเกรส ได้ผ่านร่างกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่า 1 ล้าน 9 แสนล้านสหรัฐ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ด้วยเสียงข้างมาก 220 ต่อ 211 เสียง ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถูกปรับแก้ไขเนื้อหาในขั้นตอนของวุฒิสภา ก่อนจะกลับมาลงมติในสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือ แจกเงินช่วยเหลือโดยตรงให้กับชาวอเมริกันผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 75,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 2 .25 ล้านบาท โดยจะได้รับคนละ 1,400 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทย ประมาณ 4.3 หมื่นบาท เงินจำนวนนี้ได้นำไปช่วยเหลือผู้ว่างงาน โดยขยายเวลาช่วยเหลือผู้ว่างานออกไปอีกสัปดาห์ละ 300 ดอลลาร์ หรือ 9,000 บาทไปจนถึงเดือนกันยายน ยังจัดสรรงบประมาณ 350,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1 .05 หมื่นล้านบาทไทย ให้กับรัฐบาลส่วนท้องถิ่นและของรัฐต่าง ๆ เพิ่มเงินทุนสำหรับการแจกจ่ายวัคซีน และเพิ่มส่วนลดภาษีสำหรับครอบครัวที่มีบุตร โดยคาดหวังว่า จะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐ กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง แน่นอนว่า สภาพคล่องในสหรัฐ และการจ้างงาน ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น ช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์วัคซีน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐจะนำมาซึ่งสัญญาณดีๆ แต่ที่ต้องจับตาก็คือ กรณีที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ หรือ ซีดีซี ออกมาแนะนำให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดส สามารถพบปะกับผู้ที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ภายในอาคารได้โดยไม่ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย สามารถไปเยี่ยมเยียนผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนที่บ้านของพวกเขาได้ โดยไม่จำเป็นต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย หรือรักษาระยะห่างทางสังคม ตราบใดที่ผู้ที่ยังไม่ได้ ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงสูงที่จะติดโควิด-19 แถมทั้ง ยังบอกให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ครบโดสแล้ว พบปะกันผู้ป่วยโควิด-19 พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 หรือต้องกักบริเวณใดๆ เว้นแต่จะมีอาการ หรืออาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีคนอยู่หนาแน่น อย่างบ้านพักคนชรา หรือทัณฑสถาน ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์หลังการประกาศดังกล่าว จะส่งผลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส-19 ในสหรัฐอย่างไร ขณะที่ไทยเอง ได้อัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการต่างๆ และเพิ่งเริ่มทยอยฉีดวัควีนเข็มแรก รวมทั้งเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ แต่เรื่องหน้ากากอนามัยนั้น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีความเห็นว่า เรายังคงเน้นการใช้วิธีการป้องกันเป็นหลัก วัคซีนเป็นเพียงมาตรการเสริมเท่านั้น เนื่องจากวัคซีนป้องกันการเสียชีวิต ป้องกันการป่วยหนัก ดังนั้น แม้จะได้รับวัคซีนครบโดส ประเทศไทยก็จะยังอยู่คู่กับหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างและล้างมือไปอีกนาน เพีอความไม่ประมาทการ์ดตก