เหมือนจะพ่าย...แต่ยังไม่แพ้ เสียทีเดียว สำหรับ “ประชาธิปัตย์” เมื่อเกมการเมืองยังมีให้เล่นกันอีกหลายกระดาน ถ้าเป็นไพ่ ก็ต้องถือว่ายังเล่นได้อีกหลายหน้า ! เมื่อวันนี้ประชาธิปัตย์ กลายเป็นพรรคอันดับที่สาม ในพรรคร่วมรัฐบาล เพิ่งเสียที่นั่งส.ส.นครศรีธรรมราช เขตที่ 3 ให้กับ “พรรคพลังประชารัฐ” ไปหมาดๆ แม้ในใจจะกระทบ แต่ที่สุดแล้ว “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค “ต้องยิ้มสู้”
โดยเฉพาะต้องยิ้มให้ได้ เมื่อต้องปะหน้า “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่ประกาศชัดเจนว่าสนามเลือกตั้ง เมืองคอน เขต 3 ใครๆก็ลงได้ เพราะเป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพทางประชาธิปไตย
จะหวานอม ขมกลืนมากแค่ไหน แต่การอยู่ร่วมรัฐนาวา ในรัฐบาลของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังทอดยาวอีกไกล จนกว่าการยุบสภาฯจะมาถึง
แม้วันนี้ ประชาธิปัตย์จะเหลือที่นั่ง 51 ส.ส.
แม้วันนี้ ประชาธิปัตย์ ยังต้องรบรากันเอง อันสืบเนื่องมาจากการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีระหว่างกลุ่มก๊วนการเมืองกันเองภายในพรรค หรือแม้แต่การเปิดดีบลับกับ พรรคภูมิใจไทย ที่ได้กลายเป็นพรรคอันดับสองไปแล้ว ในพรรคร่วมรัฐบาล ก็ยังต้องรอความชัดเจนว่า การเจรจาว่าด้วยเรื่องของการ “สลับกระทรวง” นั้นทั้งสองพรรค จะ win win กันทุกฝ่ายจริงหรือไม่ ?
ทั้งนี้ก็อย่างที่เกริ่น เหมือนจะพ่าย แต่เกมในช็อตต่อไป ใช่ว่า ประชาธิปัตย์จะ “แพ้” ไร้อำนาจในการต่อรอง กับ “พรรคใหญ่” อย่างพลังประชารัฐ !
ทว่ากระดานหน้าใหม่ ที่จะถูกขับเคลื่อนจากนี้เป็นต้นไป จะอยู่ที่เรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อผ่านพ้นวันที่ 11 มี.ค.64 ภายหลังจากที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีคำวินิจฉัยต่อคำร้อง กรณีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ในการเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของสมาชิกรัฐสภา ไปแล้ว
เพราะไม่ว่าคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ จะออกมาทางใด แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือกระบวนการขั้นตอนแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะยังคงเดินหน้าต่อไป แม้จะว่าจะล่าช้าออกไป หรือแม้แต่จะต้องกลับไป “ผ่านด่านหิน” อีกกี่ด่านก็ตาม แต่สุดท้ายแล้ว การแก้รัฐธรรมนูญ คือเกมที่บีบให้ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลต้องเล่น
ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว “นอกสภาฯ” โดยม็อบราษฎร หรือการกลับมารวมพลัง “ขยับ” รอบใหม่ ของพรรคฝ่ายค้านทั้ง6 พรรค และนั่นย่อมหมายรวมถึงประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ชูธงเรื่องการรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตั้งแต่การหาเสียงเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค.2562 และนำมาใช้เป็น “เงื่อนไข” ในการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ จนเกิดเป็น “ประยุทธ์2/1” จะต้องถูกบีบให้แสดงท่าที ทางใดทางหนึ่ง
ดังนั้น เมื่อการแก้รัฐธรรมนูญ จะถึงคราวต้องวนกลับมาเพื่อกลายเป็น “เงื่อนไข”กดดันรัฐบาลให้ต้องแก้รัฐธรรมนูญตามเสียงเรียกร้องจาก “ม็อบราษฎร” ที่เคลื่อนไหวอยู่นอกสภาฯ และยังถือเป็น 1ใน3ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล คู่ขนานไปกับแรงกดดัน “ในสภาฯ” ที่จะไม่ได้มีแค่ “6พรรคฝ่ายค้าน” เหมือนที่เคยผ่านมาอีกต่อไป แล้วเท่านั้น
เมื่อกระแสแก้รัฐธรรมนูญสวิงกลับมาโหมกระพือรุนแรงอีกเมื่อใด เมื่อนั้นโอกาสที่ “พรรคประชาธิปัตย์” จะลุกขึ้น “ชูธง” ในเรื่องดังกล่าว ยิ่งมีมากเท่านั้น และที่น่าสนใจไปกว่านั้น อย่าลืมว่า พรรคการเมืองใดที่ยึดจุดยืนว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้มาซึ่งฉบับประชาชนมากเท่าใด จะยิ่งกลายเป็นฝ่าย “ถือแต้มต่อ” พลิกกลับมากดดันพรรคพลังประชารัฐ ได้มากเท่านั้น !