หีบเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ปิดลงเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 64 ตามเวลาที่กฎหมายกำหนด และแน่นอนว่า "ผลแพ้-ชนะ" ในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ อาจไม่ได้จบลงเพียงแค่ ส.ส.คนใหม่ของเขต 3 แทน "เทพไท เสนพงศ์" ของพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นใคร เป็นของคนพรรคการเมืองไหน ต่างหาก ตลอดการหาเสียงของผู้สมัครในสนามเลือกตั้งซ่อม เขต 3 นครศรีธรรมราช จะเห็นได้ถึงความเข้มข้นจากบรรยากาศการฟาดฟันกันระหว่าง "สองพรรคใหญ่" คือ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเจ้าถิ่น และแชมป์เก่า ที่ส่ง "พงศ์สินธิ์ เสนพงศ์" น้องชายเทพไท ลงสมัครเพื่อรักษาเก้าอี้ตัวเดิมของประชาธิปัตย์ ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ ส่ง "อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ" สวมเสื้อพรรคลงชิงชัย โดยที่น่าสนใจว่า แม้เขต 3 นครศรีธรรมราช จะเป็นเพียงการเลือกตั้งซ่อม สนามเดียว แต่ปรากฎว่า ทั้งสองพรรคใหญ่ ต่างจัด "ทัพหลวง" ลงมาช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครของตนเองกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะ ที่สร้างความฮือฮามากกว่าใครเพื่อน คือการที่ "แม่ทัพใหญ่" จากเมืองหลวง อย่าง "บิ๊กป้อม"พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงทุนขึ้นเวทีปราศรัยเป็นครั้งแรกด้วยตัวเอง ตลาดนัดควนหนองหงส์ อำเภอชะอวด และแน่นอนว่าเมื่อ บิ๊กป้อม ไปปรากฎตัวที่ไหน บรรดาแกนนำพรรค จะต้องติดตามไปห้อมล้อม โดยไม่ต้องคาดเดา! เพราะนาทีนี้ อย่าลืมว่า ความสำคัญของบิ๊กป้อม ยังถูกเชื่อมโยงเอาไว้ที่เรื่องของการ "ปรับครม."ในส่วนของพลังประชารัฐ เองที่แม้จะมีชื่อ "แคนดิเดต" ติดโผว่าที่รัฐมนตรีคนใหม่ แต่อย่าลืมว่า ทุกอย่างพลิกผันได้ทุกเมื่อ จนกว่า รายชื่อจะถึงมือ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กลับมาที่การเมืองสนามเลือกตั้งซ่อม เขต 3 เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาชัดเจนว่า ส.ส.คนใหม่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคพลังประชารัฐ ล้วนไม่อาจหลีกเลี่ยง "ปัญหาใหม่" ที่จะเกิดขึ้นตามมา การส่งคนลงสมัคร ไปชิงเก้าอี้ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐครั้งนี้หากทำได้สำเร็จเท่ากับว่า สามารถ "ตีไข่แตก" เจาะพื้นที่หลักของประชาธิปัตย์ได้ทันที อย่างไรก็ดี ความบาดหมางอาจไม่เกิดขึ้นเลย หากทั้งพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชารัฐ ยืนอยู่คนละฝั่งกัน แต่ทว่ากลับกลายเป็นว่า ทั้งสองพรรคต่างดำรงอยู่ในฐานะ "พรรคร่วมรัฐบาล"ด้วยกัน โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐเอง ต้องการอีก 1ที่นั่งส.ส.นครศรีธรรมราช เข้ามาเติมให้พรรคมีส.ส.คนที่ 122 ส่วนประชาธิปัตย์เองต้องพยายามรักษาตัวเลข 52 ส.ส.เอาไว้ให้ได้ ชัยชนะในสนามเลือกตั้งซ่อม เขต3เมืองนครยังจะกลายเป็นการสะท้อน "อานุภาพ" ของบิ๊กป้อม ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่ตัดสินใจขึ้นเวทีปราศรัยเป็นครั้งแรกในชีวิต และอย่าลืมว่า จากนี้ไป "งานใหญ่" ของบิ๊กป้อม ยังอยู่ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ราวเดือนต.ค. และแน่นอนว่าสนามกทม.แห่งนี้ พรรคพลังประชารัฐ จะต้องเผชิญหน้ากับพรรคประชาธิปัตย์อีกรอบ แม้นาทีนี้ พลังประชารัฐจะยังไม่ส่งสัญญาณใดๆว่าจะส่งใครลง และมีแนวโน้มว่า จะหันไปหนุน "บิ๊กแป๊ะ"พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. การดำรงอยู่ร่วมกันในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ในยามที่การเมืองไม่นิ่ง ความขัดแย้งพร้อมที่จะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะมาจากเงื่อนไข การเมืองสนามเล็ก หรือสนามใหญ่ ดูจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่ ผู้จัดการรัฐบาล อย่างบิ๊กป้อม ต้องรับมือ สยบคลื่นลม เพื่อให้ "นายกรัฐมนตรี" นั่งบริหารจัดการงานฝ่ายบริหาร ให้ราบรื่นมากที่สุด !