ช่วงนี้คดีเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงดำเนินมาจนถึงขั้นศาลอ่านคำตัดสินหลายคดีให้จำเลยมีความผิดถูกลงโทษหลายคดี แถมยังเป็นคดีใหญ่มาก ผลกระทบจึงย่อมเกิดขึ้นตามมา ประการแรก พิสูจน์ว่า สัจธรรม “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ยังศักดิ์สิทธิ์ เพราะคนทุจริตที่มีทั้งนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง ต้องรับโทษลงอาญาติดคุกจริง รวมทั้งบางคดีมีการยึดทรัพย์สินชดใช้ด้วย ในด้านนี้ สังคมไทยควรเผยแพร่คำตัดสินของศาล ชี้ให้ชัดให้มวลชนเข้าใจชัดเจนว่า คนผิดทำผิดกกหมายอย่างไร ฉ้อดกงคอร์รัปชันอย่างไร ผลของการกระทำส่งผลต่อผู้กระทำอย่างไร บางเรื่องใช้เวลายาวนานเหลือเกิน กว่าผลกรรมการกระทำผิดจะส่งผลวิบากกรรมให้เกิด เช่น กรณี “ที่ดินอัลไพน์” กรณีที่ดินอัลไพน์นับเป็นตัวอย่างการลุแก่อำนาจของผู้กุมอำนาจรัฐที่เกี่ยวกับเรื่องการครอบครองที่ดิน และได้ชักนำความเสื่อมเข้าไปสู่วงการศาสนาอีกด้วย เป็นตัวอย่างความชั่วที่รุกลามจากวงการการปกครอง (มหาดไทย) ไปถึงวงการศาสนา (วัด) สั่นคลอนศรัทธาเรื่องหลักจริยธรรมในสังคมอย่างกว้างขวาง ส่วนกรณีความผิดประเด็นหลอกลวงเรื่อง “ขายข้าว G ทู G” ระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาขนจีน ก็เป็นตัวอย่างความเสื่อมความชั่วรุกลามขยายเข้าไปสู่วงการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เข้าทำนองกล้าทำชั่ว “ข้ามชาติ” กันเลย ผลกรรมชั่วจึงยาวหลายสิบปี ข้ามชาติข้ามภพไปรับกรรมต่อชาติหน้า สำหรับคดีความที่ฟ้องร้องอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังไม่ทราบผลการตัดสินของศาลแต่ “ผู้ต้องหา” หายตัวไป ดังปรากฏเป็นข่าวโด่งดังอยู่ในขณะนี้ นักวิเคราะห์เห็นว่า เมื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลบหน้าหายตัว ไม่ไปขึ้นศาลรับฟังคำตัดสินเช่นนี้ โอกาสที่จะมาตามหมายนัดศาล วันที่ 27 กันยายน เป็นไปได้ยาก อดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้จะหลบหนีอาสัยอยู่ในต่างประเทศตลอดไป ผลกระทบทางการเมืองในสังคมไทยนั้นเกิดแน่ แต่เนื่องจากศาลฯยังมิได้อ่านคำตัดสิน และอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้ยังไม่ปรากฏตัว ยังไม่แสดงบทบาททางการเมือง จึงยังไม่อาจวิเคาระห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากตัวเธอ ขณะนี้นักวิเคราะห์จึงพากันมองผลกระทบที่จะเกิดกับ “กลุ่มการเมือง” ฟากที่สนับสนุนอุ้มชู และ/หรือ รับใช้อดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ซึ่งก็เป็นเป็นที่รับรู้กันอยู่ว่าคือกลุ่มพรรคเพื่อไทย พากันวิจารณ์เรื่องพรรคเพื่อไทยกับการเลือกตั้งในอนาคต , วิจารณ์ว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องเปลี่ยนกลุ่มนำ แล้ววิพากย์วิจารณ์ลามไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ฯลฯ ดูราวกับว่า การเมืองไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ชาวไทยจะได้ “การเมืองใหม่” กันเสียที ได้โปรดอย่างคาดหวังอะไรกันเลย เราเห็นว่า ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ การเมืองไทยก็ยังคงเป็นการเมืองแบบไทย ๆ ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงยกระดับคุณภาพอย่างทันทีทันใด